กรมสรรพสามิต ได้ตกเป็นเป้าความสนใจของประชาชนทั่วไป เมื่อดำเนินการเพื่อเตรียมการจัดเก็บภาษีความเค็ม จากผู้ผลิตอาหารในประเทศไทย
ภาษีที่เก็บจากรสอาหารในประเทศไทย เริ่มมีการกำหนดเก็บภาษีความหวานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560โดยแก้ไขเพิ่มเติมอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ. 2561เพื่อให้ผู้ประกอบการมีเวลาปรับตัวเป็นเวลานานถึง 2 ปี ในการลดน้ำตาลลง ซึ่งมีวัตถุประสงค์มุ่งไปที่เรื่องสุขภาพของประชาชน ไม่เชื่อ เรื่องรายได้
ในขณะนั้นคนไทยส่วนใหญ่บริโภคน้ำตาลในแต่ละวันเกินกว่าที่องค์การอนามัยโลกแนะนำไว้ที่ 6 ช้อนชา ไปถึง 4.7 เท่า ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด
สิ่งที่พบเห็นได้ชัดเจนที่สุดในขณะนั้น คือ เครื่องดื่มชาเขียว ที่มีความเชื่อว่า มีผลดีกับสุขภาพ ตามแบบที่เห็นการดื่มชาเขียวในประเทศญี่ปุ่น ที่จะต้องดื่มชาเขียวร้อน แต่คนไทยกลับดื่มชาเขียวเย็นที่บรรจุขวดใส่น้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไป จนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทั้งที่คนไทยตั้งใจจะดื่มชาเขียวเพื่อสุขภาพที่ดี
ในเรื่องความเค็ม คนไทยส่วนใหญ่บริโภคอาหารที่มีรสเค็ม จากเกลือหรือโซเดียม ซึ่งมีความเค็มในแต่ละวันเกินกว่าที่ร่างกายต้องการและเกินกว่าค่ากำหนดขององค์การอนามัยโลกที่กำหนดไว้ วันละ 2,000มิลลิกรัม หรือ 1 ช้อนชา ถึง 2 เท่า
ทำให้คนไทยป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงประมาณ 13 ล้านคน โรคไตประมาณ 7.6 ล้านคน และโรคอื่นๆ เช่น โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต อีกประมาณ 1 ล้านคน
รัฐบาลต้องสูญเสียเงินงบประมาณในเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อค่าใช้จ่ายล้างไต และฟอกเลือด ให้แก่ผู้ป่วยโรคไตประมาณ 200,000 บาทต่อคนต่อปี โดยมีผู้ป่วยโรคไตที่ทำการฟอกไตทั่วประเทศประมาณ 90,000 คน รวมเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี และหากเป็นโรคหัวใจร่วมด้วย จะเสียค่ายาความดันโลหิตอีกปีละประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ คนไทยยังเจ็บป่วยเป็นโรคไตเพิ่มขึ้นอีกประมาณ ร้อยละ 15 ต่อปี ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกปีละ 1-2 พันล้านบาทต่อปี
จากการศึกษาของกรมสรรพสามิตพบว่า อาหารที่มีความเค็มสูง เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊กซอง ซุปก้อนเครื่องปรุงต่างๆ หากจัดเก็บภาษีความเค็ม จะทำให้คนไทยสุขภาพดีขึ้น
หากผู้ประกอบการไม่สามารถลดความเค็ม สินค้าของตนมีปริมาณเกลือ และโซเดียมสูงอยู่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ผู้ประกอบการต้องเสียภาษีเพิ่ม
ในขณะเดียวกัน หากผู้ประกอบการจะผลักภาระภาษีให้กับผู้บริโภค ด้วยการขึ้นราคาสินค้า จะทำให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าดังกล่าวลดลง การบริโภคสินค้าที่มีความเค็มจะลดลงตามไปด้วย
ภาษีความเค็มจะกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจและตระหนักว่า การรับประทานอาหารที่มีความเค็มสูงมากเป็นผลเสียต่อสุขภาพ และจะทำให้ลดการบริโภคลงด้วยตนเอง
การจัดเก็บภาษีความเค็มในสินค้าบางประเภท อาจมีผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อย เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่อาจจำเป็นต้องทำ เพื่อเป็นการรักษาสุขภาพ แต่ควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เกิดความเคยชิน
การจัดเก็บภาษีที่เกี่ยวกับรสนี้ ในต่างประเทศได้เคยมีมาก่อนแล้ว เช่น ประเทศฝรั่งเศส ได้จัดเก็บภาษีความหวานทำให้ปริมาณน้ำตาลในน้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีโซดาผสมลดลง อย่างมาก เพราะผู้ประกอบการเปลี่ยนไปใช้สารอื่นที่ให้ความหวานแทนน้ำตาล
ในประเทศฮังการีได้จัดเก็บทั้งภาษีความหวานและภาษีความเค็ม ซึ่งได้ผลดี ประชาชนลดการบริโภคลง ยอดขายสินค้าของผู้ผลิตอาหารหวานจัด เค็มจัดลดลงมาก
ประเทศโปรตุเกส อยู่ในระหว่างการพิจารณาจัดเก็บภาษีความเค็ม
นอกจากนี้ ในประเทศอังกฤษยังมีแนวความคิดจาก นักวิจัยมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด เสนอให้รัฐบาลอังกฤษจัดเก็บภาษีเนื้อแดง เช่น เนื้อวัว เนื้อแกะ เพราะการบริโภคเนื้อแดงทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคเบาหวาน ส่วนเนื้อแดงที่ผ่านกระบวนการถนอมอาหาร เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน ทำให้เกิดโรคมะเร็ง
อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า การจัดเก็บภาษีความเค็ม มุ่งจัดเก็บจากผู้ประกอบการ ที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ แต่ไม่ได้มุ่งจัดเก็บจากผู้ประกอบการที่เป็นร้านอาหาร หรือผู้ขายอาหารรายเล็ก ที่มียอดขายเป็นจำนวนไม่มาก ซึ่งการจะควบคุมให้ถึงผู้ประกอบการกลุ่มนี้ อาจต้องใช้เวลา และดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป
การจัดเก็บภาษีความเค็ม หากผ่านเป็นกฎหมาย จะไม่มีผลใช้บังคับในทันที แต่จะให้เวลาในการปรับตัวประมาณ 2 ปี เหมือนอย่างตอนเริ่มใช้กฎหมายจัดเก็บภาษีความหวาน
หากกฎหมายภาษีความเค็ม มีผลบังคับใช้อย่างจริงจัง จะเป็นผลดีต่อสุขภาพของประชาชนชาวไทยโดยทั่วไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี