ช่วงกลางเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 สื่อมวลชนหลายสื่อได้นำเสนอข่าวการบุกรุกป่ามรดกโลก เขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ พื้นที่หมู่ที่ 14 ตำบลเนินหอม อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี รวม 6 จุด พื้นที่รวมประมาณ 12 ไร่มีการนำรถแบ๊กโฮ 3 คัน เข้าไปขุดปรับพื้นที่บนเนินเขา โดยใช้รถดันต้นไม้ล้มเป็นบริเวณกว้าง ก่อนจะนำมากองรวมกันและจุดไฟเผา
อุทยานแห่งชาติเป็นทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน การยึดถือหรือครอบครองที่ดิน รวมตลอดถึงการก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า การเก็บหา นำออกไป ทำด้วยประการใดๆ ให้เป็นอันตราย หรือทำให้เสื่อมสภาพ ซึ่งไม้ ยางไม้ น้ำมันยาง การทำด้วยประการใดๆ ให้เป็นอันตรายหรือทำให้เสื่อมสภาพแก่ดิน หิน กรวด หรือทราย การเก็บหรือทำด้วยประการใดๆให้เป็นอันตรายแก่ดอกไม้ ใบไม้ กล้วยไม้หรือผลไม้ การนำหรือปล่อยปศุสัตว์เข้าไป การส่งเสียงอื้อฉาวหรือกระทำการอื่นอันเป็นการรบกวน หรือเป็นที่เดือดร้อนรำคาญแก่คนหรือสัตว์ การกระทำต่างๆเหล่านี้ถือว่าเป็นความผิดตามพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งจะมีทั้งโทษปรับหรือจำคุก หรือทั้งจำคุกและปรับ หรือปรับเพียงอย่างเดียว แล้วแต่กรณีความผิดมากน้อยต่างกันไป
เหตุการณ์การบุกรุกป่าครั้งนี้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) นำโดยพ.อ.พงษ์เพชร เกษสุภะ หัวหน้าชุดปฏิบัติการศูนย์การประสานการปฏิบัติ (ศปป.) ที่ 4 ชุดปฏิบัติการพิเศษพญาเสือได้แจ้งความจับอดีตนักการเมืองชื่อดังจังหวัดปราจีนบุรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ บุตรสาว ของอดีตนักการเมืองชื่อดัง ในข้อหารุกป่ามรดกโลกเขาใหญ่ แต่ทั้งสองยืนยันว่า ไม่เคยบุกรุกป่าเขาใหญ่ การครอบครองที่ดินเป็นโฉนดอย่างถูกต้องโดยกรมที่ดิน และไม่เคยทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย
เมื่อ พ.อ.พงษ์เพชร เกษสุภะ ทำการตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งโฉนดที่ดินทั้ง 5 แปลง ของพ่อลูกดังกล่าว มีเนื้อที่ดินประมาณ 85 ไร่ ได้มีการนำรถแบ๊กโฮ ไถต้นไม้ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นอยู่นอกเขตที่ดินที่มีโฉนด ล่วงล้ำเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ประมาณ 12 ไร่
นอกจากนี้ที่ดินที่มีโฉนดทั้ง 5 แปลง ยังต้องตรวจสอบต่อไปว่า ได้ออกโฉนดที่ดินออกทับที่ทำการหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่ขญ.12 (เนินหอม) ทับเส้นทางขึ้นเขาใหญ่ และด่านตรวจเนินหอม ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหรือไม่
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ประกาศเมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2505 มีอาณาเขตครอบคลุม 11 อำเภอ ของ 4 จังหวัด คือจังหวัดสระบุรี จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดนครนายก แต่โฉนดที่ดินกลับออกภายหลังการประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติ จึงต้องมีการตรวจสอบถึงความถูกต้องของโฉนดที่ดินว่า ได้มาโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือมีบุคคลใดอยู่เบื้องหลังในการออกโฉนด
ในด้านสังคมและวัฒนธรรม อุทยานแห่งชาติ ถือได้ว่าเป็นแหล่งที่มีคุณค่าทางด้านสันทนาการของประชาชน ในด้านสิ่งแวดล้อมเป็นพื้นที่ที่ช่วยรักษาความสมดุลของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดกระบวนการทางอุทกวิทยา ช่วยควบคุมสภาพภูมิอากาศ ช่วยรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมต่อสิ่งมีชีวิต ช่วยคุ้มครองรักษาระบบนิเวศ และในด้านเศรษฐกิจ ใช้เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ทำให้เกิดธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ
คนบางกลุ่มมองว่า การได้ครอบครองพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติไม่ว่าในทางใด จะนำมาซึ่งผลตอบแทนมหาศาล
อุทยานแห่งชาติ ถือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ต้องใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ตามกฎหมายผลของการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน บุคคลใดจะยึดถือครอบครอง หรือยกเอาอายุความขึ้นต่อสู้ เพื่อให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์หรือสิทธิใดๆ ไม่ได้
การบุกรุก และจับจองทำประโยชน์ ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน มีข่าวให้เห็นอยู่หลายครั้ง รวมถึงมีการออกเอกสารสิทธิโดยไม่ชอบ พื้นที่บางแห่งออกสารสิทธิกันมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปี โดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนให้ความช่วยเหลือ มีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันหลายต่อหลายทอด แต่ท้ายที่สุด เมื่อเป็นเอกสารสิทธิที่ออกโดยไม่ชอบมาตั้งแต่แรก ศาลมีอำนาจในการเพิกถอน
ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2561 ในคดีที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ฟ้องบริษัทเอกชน ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน และโรงแรมระดับ 5 ดาว ริมชายหาดฉางหลาง ตำบลไม้ฝาดอำเภอสิเกา จังหวัดตรัง เนื้อที่รวมกว่า 37 ไร่ ให้ ออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคลองไหโล๊ะ ป่าเลนคลองปอ และป่าเลนคลองหละ เนื่องจากพบว่า การออกเอกสารสิทธิประเภทน.ส. 3 ก และโฉนดไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ในอดีตประชาชนส่วนใหญ่ที่ยากจนและไม่มีที่ทำกินจะเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินว่างเปล่าของรัฐรวมทั้งเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าด้วยรัฐจึงเห็นว่าหากปล่อยให้ประชาชนเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐโดยไม่มีขอบเขต ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่ป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติของป่าได้ ทำให้การแก้ปัญหาด้วยการตรากฎหมายออกมาควบคุมและคุ้มครองป่าและทรัพยากรธรรมชาติ เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองและสงวนป่า พ.ศ. 2481 พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535
กฎหมายแต่ละฉบับ เช่น พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 จะกำหนดแนวเขตพื้นที่สำหรับที่จะทำการคุ้มครองหรือสงวนไว้ แต่การกำหนดแนวเขตดังกล่าวเป็นการกำหนดจากรูปแผนที่ หรือแผนผังระวางต่างๆ ของส่วนราชการ บางครั้งไม่ได้ออกไปตรวจสอบสภาพพื้นที่ที่แท้จริง อาจทำให้เกิดปัญหาแนวเขตที่กฎหมายประกาศใช้ไปทับซ้อนกับพื้นที่ที่ประชาชนเข้าครอบครองและทำประโยชน์อยู่ก่อน นอกจากนี้ พื้นที่เดียวกันแต่เอกสารที่หน่วยราชการแต่ละแห่งถือ อาจมีแนวเขตแสดงถึงพื้นที่ดินที่ต่างกัน
ดังนั้น ประชาชนที่มีที่อยู่ใกล้เขตอุทยานแห่งชาติ หรือป่าสงวน หากไม่มั่นใจว่า โฉนดที่ดินที่มีชื่อตนถือกรรมสิทธิ์อยู่นั้น จะออกทับที่เขตอุทยานแห่งชาติ หรือ
ป่าสงวน หรือไม่ สามารถทำหนังสือสอบถามไปยังกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช หรือกรมป่าไม้ ซึ่ง ทางราชการจะทำหนังสือตอบมาว่า ที่ดินดังกล่าวรุกล้ำเข้ามาในเขตอุทยานแห่งชาติหรือป่าสงวนหรือไม่ นับว่าเป็นเรื่องดีเพื่อป้องกัน การเกิดปัญหา รวมถึงการฟ้องร้องคดีในอนาคต
หากมีการซื้อขายที่ดินแปลงนั้น เพราะแม้จะมีโฉนดที่ดิน หากโฉนดที่ดินนั้นออกทับที่ในส่วนของพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติ หรือป่าสงวน ผู้ซื้อจะไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดิน หากผู้ซื้อยังติดใจจะเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ต้องฟ้องคดีเพื่อเรียกเงินจากผู้ขาย จึงอาจตามตัวไม่ได้หรือใช้เงินที่ได้จากการขายไปหมดแล้ว ทำให้ไม่สามารถเรียกค่าเสียหายคืนได้เลย
ผู้ที่ซื้อที่ดิน หรือได้กรรมสิทธิ์ที่ดิน ใกล้อุทยานแห่งชาติ หรือป่าสงวน จึงต้องตระหนัก และยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี