อาทิตย์ก่อนผมได้เขียนเกี่ยวกับการที่วัยเด็ก วัยทำงาน ของประเทศไทยมีปริมาณลดลง รัฐบาลจึงควรกระตุ้นให้ประชาชนที่เหมาะสมมีบุตรมากขึ้น จาก 1.4 คนต่อครอบครัวเป็น 2 หรือ 3 คน รวมทั้งควรมีคณะกรรมการแห่งชาติดูแลเรื่องกำลังคนในอาชีพ วิชาชีพต่างๆ เพื่อไม่ให้ขาดแคลนอาชีพต่างๆ เหล่านี้ และมีการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับงานที่จะออกไปทำ พูดง่ายๆ จบแล้วทำงานตามที่ตลาดต้องการได้เลย
ผมพูดเสมอว่าการดูแลผู้สูงอายุ หรือการเตรียมประชาชนให้พร้อมที่จะเป็นผู้สูงอายุที่ดี ที่ช่วยเหลือตัวเองได้ในทุกๆ ด้านให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของสุขภาพ เช่น บิดา มารดา ถ้าทราบว่าเป็นพาหะของโรคหนึ่งโรคใด ควรไปปรึกษาแพทย์ว่าจะมีบุตรได้ไหม ถ้าได้จะต้องทำอะไรบ้าง บางคนอาจมีความเสี่ยงต่อการมีบุตรเพราะเป็นผู้หญิงที่มีอายุมากแล้ว ฉะนั้นจึงควรไปปรึกษาแพทย์ ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับโรค หรือสุขภาพก็คือ ทั้งชายและหญิง ควรมีความพร้อมในทุกๆ ด้านก่อนที่จะมีบุตร ประเทศไทยมีการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร (ต่ำกว่า 19 ปี) สูงเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย โดยทั้ง “บิดา มารดา” ที่มีบุตร อาจมีอายุเพียง 13 ปี 11 ปี ตามลำดับ ด้วยเหตุนี้เองรัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการ ฯลฯ บิดา มารดา สังคม ฯลฯ ต้องจัดให้มีการเรียนรู้ทางด้านเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันไม่ให้ “เด็ก” ตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร ต้องรู้จักการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ซึ่งก็คือ การใช้ถุงยางอนามัย เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีการถกเถียงกันว่า ถ้าเราสอนเรื่องเพศสัมพันธ์จะเป็นการทำให้เด็กๆ เยาวชน มีเพศสัมพันธ์กันมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ของสังคมทั่วโลก รวมทั้งกาชาดสากล มีความเห็นว่าควรต้องให้ความรู้ทางด้านเพศสัมพันธ์ รวมทั้งสอนเรื่องวัฒนธรรม ศีลธรรม การประพฤติตัวที่ดีงาม รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย นอกจากจะทำให้มีการตั้งครรภ์โดยที่ “บิดา มารดา” ยังไม่พร้อมแล้ว ยังเป็นสาเหตุของการติดต่อโรคต่างๆ ที่เกิดจากเชื้อ HIV/AIDS โรคตับอักเสบชนิดบี และซี และโรคอื่นๆ อีกด้วย
ด้วยเหตุต่างๆ นี้เอง ผมจึงอยากให้การดูแลผู้สูงอายุเริ่มตั้งแต่ก่อนที่จะมีลูก ทั้งหญิงและชาย พร้อมหรือยังที่จะมีบุตร มีฐานะทางด้านการเงินพอสมควรหรือไม่ มีงานทำที่มั่นคงหรือยัง ใครจะเลี้ยงบุตร รวมทั้งที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม ฯลฯ
ผมจึงดีใจที่ได้ยิน ฯพณฯ ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันที่ท่านไปเป็นประธานสักขีพยานของการเซ็นสัญญาการทำงานร่วมกันของ 4 กระทรวง กระทรวง พม. มหาดไทย สาธารณสุข และศึกษาฯ ในการเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมสูงอายุ ท่านได้กล่าวว่า ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเป็นผู้สูงอายุตั้งแต่เกิด!
ผมเองได้รับเชิญให้ไปบรรยายการดูแลสุขภาพหลังเกษียณบ่อยมาก ซึ่งผมมีความเห็นว่าช้าไป เพราะเมื่ออายุถึง 60 ปี(บางคนเสียชีวิตไปก่อน 60 ปีแล้ว) หลายคนเป็นโรคแล้ว บางคนหลายโรค เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคอัมพาต โรคอ้วน โรคไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบและอุดตัน รวมทั้งโรคมะเร็งทั้งหลาย ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เริ่มต้นช้า แต่การที่จะเริ่มต้นดูแลสุขภาพตนเองเมื่ออายุ 60 ปี ยังดีกว่าการไม่ดูแลสุขภาพของตนเองเลย การดูแลสุขภาพก็คล้ายๆ การออม การลงทุน ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งดี แต่การเริ่มช้ายังดีกว่าไม่ได้เริ่มเลย
จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี พ.ศ.2560 พบว่าผู้สูงอายุมีการศึกษาน้อย มีการออมลงทุนน้อย และยังมีสุขภาพที่ไม่ดีพอ ถึงแม้อายุจะยืนขึ้น ฉะนั้นประเทศไทยต้อง
เริ่มต้นแก้ปัญหาทั้งหมดนี้ตั้งแต่ก่อนเกิดหรือหลังเกิด ยิ่งเร็วยิ่งดี
จากข้อมูล 2560 พบว่า ผู้สูงอายุอ่านออกเขียนได้เพียง 83.7% ไม่มีการศึกษา 9.8% มีการศึกษาต่ำกว่าประถมศึกษา 68.7% ประถมศึกษา 7.5% มัธยมศึกษา/ปวส./ปวท./อนุปริญญา 8.6% และปริญญาตรีและสูงกว่าเพียง 5.4%
จากข้อมูลข้างบนนี้ (เฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ) พบว่าผู้สูงอายุมีการศึกษาน้อยมาก ความจริงผมไม่ได้หมายความว่าต้องเรียนจบปริญญาตรีทุกคน ประเทศยังต้องการอาชีวะอีกเป็นแสน แต่โดยทั่วๆ ไปประเทศต้องการผู้ที่มีความรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการของประเทศอีกมาก ในหลายๆ สาขา ผมจึงมีความเห็นว่าประเทศไทยควรมีคณะกรรมการดูแลเรื่องความต้องการของอาชีพ วิชาชีพต่างๆ ของประเทศ จะได้มีการเรียนการสอนในสาขาต่างๆ ที่เหมาะสมสำหรับประเทศอย่างเพียงพอ และมีคุณภาพ
อีกอย่างที่มีความสำคัญสำหรับการศึกษาไทย คือ ถึงแม้เราให้ประชาชนเรียนฟรี 12 ปี แต่บางครอบครัวจน และหรืออยู่ไกลจากโรงเรียน จึงต้องช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงาน จึงไม่ได้ไปโรงเรียน หรือไม่มีเงินที่จะเดินทางไปโรงเรียน รัฐบาลจึงควรหันมาดูกลุ่มนี้ด้วย เพื่อสนับสนุนให้ไปโรงเรียนได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้การสนับสนุนทางด้านการเงินฟรี หรือให้ยืมแบบไม่มีดอก ฯลฯ
และการศึกษาของไทยจะต้องเป็นการเรียนการสอนที่ทันสมัย เหมาะสมกับกาลเวลา เรียนจบสามารถทำงานได้เลย
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี