ผมสอนลูกศิษย์เสมอให้เป็นคนดี ที่เก่ง ที่รอบรู้ และที่มีสุขภาพดีโดยความดีต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด และจะเก่งได้ จะต้องมีโอกาสเรียนเมื่อมีโอกาสเรียนแล้ว ต้องเรียนเป็น จับประเด็นเป็น สรุปเป็นรู้หัวใจของเรื่อง และต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต
โอกาสเรียนนั้นมีความสำคัญมาก พวกเราที่มีโอกาสเรียน เช่น ผม โชคดีมากที่ได้ไปเรียนถึงอังกฤษ มักไม่นึกถึงเพื่อนร่วมชาติที่ไม่มีโอกาส และยังมีจำนวนที่มากอยู่เป็นหลายล้านคน วันนี้ผมจึงขอนำ กสศ.มาแนะนำให้พวกเรา ท่านผู้อ่าน รู้จัก กสศ.ยิ่งทำให้คำพูดของผมเป็นความจริง ยังมีเด็ก เยาวชน อีกหลายล้านคนที่ไม่มีโอกาสเรียน ทั้งๆ ที่หลวงให้เรียนฟรี 12 ปี ผมให้ข้อคิดลูกศิษย์เสมอว่า การที่เขามีสมองดี ไม่พิการ มีรูปร่างสวย หล่อ (แค่ไม่พิการก็สุดยอดแล้ว) มีโอกาสเรียน มีข้าวกิน เป็นการลงทุนของใคร ไม่ใช่ของตัวเขาเองแน่ ยกเว้นการขยันเรียนจนได้เป็นแพทย์มาอยู่ตรงหน้าผม ให้ผมสอน แต่เขาไม่ได้ลงทุนอะไรเลย ยกเว้นขยันเรียน แต่ส่วนใหญ่เป็นการ “ลงทุน” หรือ “ให้” จากเทวดาหรือพ่อแม่ทั้งนั้น เช่น การมีสมอง ไม่พิการ การมีโอกาสเรียน การมีข้าวกิน ฯลฯ ฉะนั้นผมจึงถามเขาทั้งหลายว่า คุณหมอลงทุนเองบ้างได้ไหม ด้วยการเป็นคนดี ซึ่งไม่ต้องใช้เงินทองอะไรเลย ง่ายมาก ผมถือมาก เรื่องความเป็นคนดี ถ้าทุกๆ คนเป็นคนดี ปัญหาของชาติ โลก จะหมดไปทันที
และเมื่อคุณหมอรวยแล้ว สบายแล้ว ต้องพยายามช่วยคนอื่นที่ด้อยโอกาส ด้วยการให้ผู้อื่นได้มีโอกาสเรียนบ้าง การศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด ประเทศไหนจะเจริญได้ประชาชนต้องได้รับการศึกษาที่ดี ระบบการศึกษา ครูต้องดี มีประสิทธิภาพ
ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงสนใจเกี่ยวกับการศึกษาที่ดี สนใจที่จะบริจาคเงินสำหรับการศึกษา มากกว่าการบริจาคสำหรับสิ่งอื่นใด และได้ทำมาหลายสิบปีแล้ว และดีใจที่ประเทศไทยมี กสศ.เกิดขึ้น ถึงแม้จะเพิ่งตั้งมาปีสองปีนี่เอง จริงๆ แล้วผมอยากให้มีกองทุนแบบ กสศ. 1 กองทุนเท่านั้นต่อประเทศ ทุกๆ คนที่สบายแล้ว และคิดถึงเพื่อนร่วมชาติ จะได้บริจาคเข้าที่นี่ ที่นี่จะได้บริหารกองทุนได้ดียิ่งขึ้น และหรือเป็นตัวกลางการบริจาคเงินเพื่อการศึกษา เช่น เมื่อทราบว่าปีหนึ่งต้องใช้เงิน 25,000 ล้านบาท หรือเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่ได้งบจากรัฐบาลเพียง 5,000 กว่าล้าน ยังขาดอีก 20,000 กว่าล้านบาท จะได้มีเป้าที่ชัดเจน ที่จะขอบริจาคจากหลายๆ หน่วยงาน NGO ประชาชน รวมทั้งการขอเงินงบประมาณเพิ่มขึ้น
ผมจึงขอแนะนำ กสศ. หรือกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(ซึ่งตั้งมาตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 54) ที่มีภารกิจสำคัญ คือ1) สร้างความเสมอภาคทางการศึกษา 2) ช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา 3) เสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู โดยมีวัตถุประสงค์ 7 ข้อ คือ 1) ส่งเสริมเด็กปฐมวัยให้มีพัฒนาการสมวัย พร้อมเข้าสู่ระบบการศึกษา 2) ช่วยเหลือเยาวชนผู้ด้อยโอกาส ให้สำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐาน 3) เสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพครู4) สนับสนุนผู้ด้อยโอกาสให้ได้รับการศึกษาและพัฒนาทักษะการประกอบอาชีพ 5) ส่งเสริมสถานศึกษา ให้เอื้อต่อการพัฒนาผู้เรียน 6) ศึกษาวิจัยแนวทางการพัฒนาครูต้นแบบ 7) ศึกษาวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในปัจจุบันของประเทศไทย คือ 1) มีนักเรียนยากจน/ด้อยโอกาส 2.1 ล้านคน (29.9% จากนักเรียนทั้งหมด 2) มีเด็กนอกระบบ (6-14 ปี) 4.3 แสนคน 3) คุณภาพโรงเรียนในชนบทล้าหลังเมื่อเทียบกับโรงเรียนในเมือง 2 ปีการศึกษา 4) จากสถานการณ์ COVID-19 หากอ้างอิง รายได้เฉลี่ยของครัวเรือน ยากจนพิเศษ ในปีที่ผ่านมา พบว่าจำนวนนักเรียนยากจนพิเศษเพิ่มขึ้นถึง 300,000 คน เสี่ยงต่อการหลุดออกนอกระบบการศึกษา(ประมาณ 1,337 บาท/คน/เดือน) 5) เด็กยากจนมีโอกาสศึกษาต่ออุดมศึกษา เฉลี่ยเพียง 5% ต่อรุ่น โดยช่องว่างการเข้าถึงการศึกษาระหว่างคนรายได้น้อยกับปานกลาง ห่างกันถึง 20 เท่า
กลุ่มเป้าหมายของ กสศ. มี 4.3 ล้านคน กสศ.ช่วยเหลือโดยตรงได้ 8.29 แสนคน (20.7%) 1) เด็กเล็ก (0-2 ปี) ขาดทุนทรัพย์527,047 คน กสศ.ช่วยเหลือกลุ่มตัวอย่าง 1,052 คน (0.2%)2) เด็กปฐมวัย (3-5 ปี) ขาดทุนทรัพย์ 322,161 คน กสศ.ช่วยเหลือกลุ่มตัวอย่าง 49,833 คน (15.5%) 3) เด็กนักเรียน (6-14 ปี) ขาดทุนทรัพย์ 1,787,952 คน กสศ.ช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มยากจนพิเศษได้ 761,729 คน (42.6%) และช่วยคัดกรองเด็กยากจนให้แก่ สพฐ. จำนวน 951,417 คน 4) เด็กนอกระบบการศึกษา 639,378 คน กสศ.ช่วยเหลือกลุ่มตัวอย่าง 5,986 คน (0.9%) 5) กลุ่มหลังการศึกษาภาคบังคับ (15-17 ปี) เด็กที่ไม่เรียนต่อหลังจบ ม.ต้น 498,161 คน กสศ.ช่วยเหลือกลุ่มตัวอย่าง 909 คน (0.2%), ม.ปลาย / ปวส. ยากจน394,082 คน กสศ. ช่วยเหลือกลุ่มตัวอย่าง 5,191 คน (1.3%)6) แรงงานด้อยโอกาส (18 ปีขึ้นไป) 144,183 คน กสศ.ช่วยเหลือกลุ่มตัวอย่าง 5,146 คน (3.6%) 7) ครู และสถานศึกษากสศ.ได้รับงบเพียง 5,496 ล้านบาท (21.9%) ต่อปี แต่ตัวเลขการประเมินของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา คือ 25,000 ล้านบาท
ผมจึงขอเชิญชวนท่านผู้อ่านทุกๆ ท่าน โปรดกรุณาพิจารณาบริจาคเงินเท่าที่ท่านจะสามารถบริจาคได้ โดยต้องไม่เดือดร้อนตนเองหรือครอบครัว อาจจะเป็นเพียง 1,000 บาทเท่านั้น ท่านสามารถนำเงินบริจาคไปหักลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่า โดยสามารถบริจาคเงินสมทบความช่วยเหลือได้ที่ www.eef.or.th/donate/ หรือผ่านธนาคารกรุงไทยสาขาซอยอารีย์ เลขที่ : 172-0-30021-6 บัญชี : “กสศ.มาตรา 6(6) –เงินบริจาค” โดยส่งหลักฐานการบริจาคมาที่อีเมล donation@eef.or.th ภายใน 1 วันทำการ เพื่อ กสศ.ดำเนินการนำเข้ายอดเงินผ่านระบบe-donation ของกรมสรรพากรเพื่อหักลดหย่อนภาษี 2 เท่า ต่อไปหากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0-2079-5475
ท่านจะสามารถช่วยเพื่อนร่วมชาติผู้ด้อยโอกาสเหล่านี้ได้ไม่มากก็น้อย ถ้าทุกๆ คนร่วมมือกันคนละเล็กละน้อย บ้านเมืองเราจะอยู่รอด และไปได้สวยครับ
ขอขอบพระคุณทุกท่านครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี