เมื่อปีที่แล้ว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับเชิญจาก Harvard Law School ให้ไปร่วมเสวนาทางวิชาการ เรื่อง Populist Plutocrats : Lessons
from Around the world “บทเรียนประชานิยมจากทั่วโลก” โดยนายอภิสิทธิ์ ได้รับเชิญให้บรรยายในหัวข้อ Understanding Populist Plutocracy : Thaksin in Thailand หรือที่เคยเรียกกันสั้นๆ ในประเทศไทยก่อนหน้านี้ว่า “พิษทักษิณ” นั่นเอง ซึ่งเนื้อหานั้นมิได้มุ่งหมายไปที่ตัวบุคคลเป็นหลัก แต่มุ่งศึกษาจากการใช้ “ประชานิยมแบบทักษิณ” หรือที่เคยประดิษฐ์คำว่า “ทักษิโณมิกส์” ขึ้นมาใช้กันก่อนหน้านี้นั่นเอง
ผมได้ฟังเนื้อหาที่เป็นบทสรุป จากรายการ “ต้องถาม” ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง “ฟ้าวันใหม่” โดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นผู้ซักถามนายอภิสิทธิ์ ฟังแล้วก็เกิดความคิดว่า“...ถ้าคนทั้งชาติได้ฟัง ได้เอาไปคิดร่วมกัน มันจะเกิดความเข้าใจในปัญหาของประเทศชาติ และนำไปสู่การคิดหาทางออกได้ดีขนาดไหน...”
ทุกวันนี้ เราหมกมุ่นอยู่กับการ “ทำสงครามตัวแทน” มากกว่าหาทางออกให้แก่ประชาชนและประเทศชาติ ในที่นี้หมายรวมถึงตัวประชาชนเองด้วย ที่ก็แยกกันออกเป็นสีๆ แล้วก็มีอคติต่อการฟังกัน คิดร่วมกัน และไม่ได้เอาปัญหาสำคัญของชาติขึ้นเป็น “ตัวตั้ง” แต่เอาปัญหา เอาความเชื่อ ความต้องการของตนและของกลุ่มขึ้นเป็นตัวตั้ง เกมแห่งการ “ชิงอำนาจให้ฝ่ายตน” และพยายาม “ทำลายอำนาจของอีกฝ่าย” จึงเกิดขึ้นวนเวียนอยู่อย่างไม่จบสิ้น
แม้ในยุคที่ คสช. เข้ามาควบคุมสถานการณ์ ก็ใช่ว่าบรรยากาศเช่นว่านั้นจะหมดไป ซ้ำร้ายหนัก ยังมีวาทกรรม “ทำลายความชอบธรรมของระบบตัวแทน” ด้วยการตีตรา “นักการเมือง” แบบ
“เหมารวม” ว่า เป็น “คนชั่ว” ไปเสียทั้งหมด เพื่อให้ง่ายต่อการปกครอง ในช่วงต้นของคสช. และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงมีการสร้างความเป็นพวกระหว่าง คสช. กับประชาชนฝ่ายหนุน ผลักนักการเมืองออกไปจากพื้นที่แห่งการปฏิรูปและความหวัง ซ้ำบดขยี้ให้ด้อยคุณค่า ยกระดับขึ้นมาเป็น “ศัตรูร่วม” ว่า นักการเมืองนี่แหละ คือตัวทำลายชาติบ้านเมือง จนผู้คนซึ่งผิดหวังกับนักการเมืองชั่วๆ เห็นนักการเมืองเป็นภาพเดียวกันหมด ไม่จำแนกแยกแยะ และลืมว่า คนที่เขาเรียกว่า “นักการเมือง” นั้น จริงๆ คือ “ผู้แทน” หรือ “ตัวแทน” ที่พวกเขา “เลือก” เป็นเครื่องมือสะท้อนปัญหาและความต้องการของตน เพื่อเข้าสู่กลไกการทำงานในระบบ “รัฐสภา”
นับว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่ คสช. ทำได้สำเร็จมากๆ ด้วยบรรยากาศเช่นนั้น นำมาสู่การตัด “ความมีตัวแทน” ออกไปจากระบบ เช่น การแต่งตั้ง สว.การตั้งกรรมการปฏิรูป กรรมการยุทธศาสตร์ชาติ การเขียนแผนปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติที่ปราศจาการมีส่วนรวมอย่างแท้จริง
นายอภิสิทธิ์เล่าว่า แรงจูงใจของการจัดเสวนาเรื่องดังกล่าวนั้น เกิดจากปรากฏการณ์ โดนัลด์ ทรัมป์
“โดนัลด์ ทรัมป์ คือ “ผู้นำที่สหรัฐไม่เคยเจอ” คือ...เป็นเศรษฐี นักธุรกิจ คนนอกวงการการเมือง ที่เข้ามายึดความเป็นตัวแทนภายในพรรค ชนะการเลือกตั้ง จนก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีได้ และทำหลายสิ่งหลายอย่างที่คนอเมริกันไม่เคยเจอเลย เขาจึงอยากรู้ว่า การมีผู้นำแบบ “เศรษฐีประชานิยม” อย่างนี้แล้ว สุดท้ายมันจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศของเขา เขาจึงเลือกเชิญตัวแทนจากประเทศที่เคยผ่านเหตุการณ์ทำนองนี้มาแล้ว ซึ่งก็จะมีไทย อิตาลี ฟิลิปปินส์ ซูมา และเปรู ซึ่งมีผู้นำที่มีแนวทางประชานิยมและบุคลิกภาพใกล้เคียงกับทรัมป์”
โดย 3 ประเด็นที่ผู้จัดงานอยากได้คำตอบก็คือ 1.ผู้นำแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร 2.เมื่อเข้าสู่ตำแหน่งแล้ว เกิดอะไรขึ้น 3.ถ้าต้องการต่อสู้กับแนวทางการเมืองแบบนี้ต้องทำอย่างไร
“ข้อแรก ตัวแทนจากทุกประเทศมีข้อสรุปตรงกันหมดว่า ผู้นำแบบนี้เกิดขึ้น เมื่อประชาชนรู้สึกว่า การเมืองในระบบปกติมันล้มเหลว ทำให้เขารู้สึกขาดสิทธิ ขาดเสียง ขาดคนมาตอบสนองความต้องการหลายอย่าง ซึ่งกรณีปรากฏการณ์คุณทักษิณ ชินวัตร นั้น ผมก็ชี้ให้เห็นว่า ส่วนหนึ่งมันเกิดมาจากวิกฤติเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลก่อนหน้า ก็คือรัฐบาลประชาธิปัตย์ ซึ่งได้มรดกมาจากรัฐบาล
ก่อนหน้านั้นอีก ก็คือ รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ที่ไปทำข้อตกลงกับไอเอ็มเอฟไว้ แล้วก็ลาออก ทำให้ต้องทำนโยบายที่ขัดใจคนส่วนใหญ่ แม้รัฐบาลประชาธิปัตย์ขณะนั้น จะแก้ไขวิกฤติ พาชาติพ้นภาวะล้มละลายได้ แต่มันก็เกิดความอึดอัด เกิดการต่อต้าน เกิดกระแสชาตินิยม ซึ่งทรัมป์ก็มาในสภาพคล้ายๆ กัน เพราะโอบามาก็มีปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ แล้วคนก็จะกล่าวหาว่า ทำไมไปช่วยแต่ธนาคารเศรษฐกิจที่บอกว่าดีขึ้นแล้ว แต่ทำไมคนยังลำบาก แล้วก็เกิดการโทษนั่นโทษนี่ ซึ่งก็คล้ายกันหมดทั้งของเรา อิตาลี และฟิลิปปินส์”
ข้อที่สอง ถามว่า เมื่อเป็นแล้วเกิดอะไรขึ้น นายอภิสิทธิ์เล่าว่าเขาเลือกจะเล่าอย่างตรงไปตรงมาว่า เมื่อคุณทักษิณเข้ามา เขาก็ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดี ได้ทันที ประสบความสำเร็จในการทำนโยบายบางอย่าง เช่น นโยบายหลักประกันสุขภาพ ซึ่งแม้จะมีปัญหาตามมามากมาย แต่ก็นับเป็นนโยบายที่ดี นโยบายเรื่องอื่นอาจจะสำเร็จ แต่ก็ไม่ยั่งยืน อย่างไรก็ตาม เป็นนโยบายที่ประชาชนรู้สึกว่า เขาได้รับการตอบสนอง นโยบายบางอย่างก็สร้างปัญหา เช่น การทำสงครามกับยาเสพติด การใช้ความรุนแรงแข็งกร้าวในภาคใต้ ซึ่งเป็นการไม่เคารพกฎหมาย นำไปสู่ความสูญเสีย การละเมิดสิทธิมนุษยชน และความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น และสิ่งสำคัญที่สุดที่ตามมาก็คือ ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น มีผลประโยชน์ทับซ้อน จนไปทลายกลไกการตรวจสอบ ที่มีทั้งการครอบงำ การติดสินบน ซึ่งคล้ายกันหมดทุกประเทศ
“ส่วนที่ไม่ได้ข้อสรุปคือ ส่วนที่สาม “แล้วจะก้าวพ้นมันได้ยังไง” เพราะสิ่งที่ได้จากประสบการณ์ในทุกประเทศคือ รู้แต่เพียงว่า--มีวิธีไหนบ้างที่ไม่ได้ผล”
โดยวิธีการที่ไม่ได้ผล ซึ่งไม่ได้แปลว่าควรทำหรือไม่ควรทำนั้น นายอภิสิทธิ์สรุปให้ฟังว่า
1.การพยายามเอาความจริงเกี่ยวกับความเลวร้ายของผู้นำแบบนี้มาแฉ มาเปิดเผย เปิดโปง เพราะผู้นำแบบนี้ จะมีทักษะสูงมากในการเบี่ยงเบนประเด็นและโยนกลับมาว่า ใครก็ตามที่กำลังบอกว่าเขาไม่ดีนั้น คือผู้ที่กำลังขัดขวางการแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนส่วนใหญ่ และที่พบตรงกันในทุกประเทศคือ มักจะกล่าวหาว่า เป็นเรื่องของกลุ่มชนชั้นนำที่กำลังสูญเสียอำนาจ จากนั้นจะเกิดการเข้าครอบงำสื่อ สื่อที่ไม่ยอมให้ครอบงำ ก็จะกลายเป็นสื่อเลว สื่อขาประจำ เป็นคู่อริกัน เหมือนตอนนี้ ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ มีปัญหากับนิวยอร์ก ไทมส์ และวอชิงตันโพสต์ ศาล-ก็จะโดนด้วยว่า เป็นกลไกที่เข้ามาสกัดกั้นและทำลายเขา ดังนั้น การแฉข้อเท็จจริงก็ดี การเอากฎหมายเข้าไปดำเนินการ แม้ในเรื่องที่เขาทำผิดกฎหมายก็ดี ที่หลายคนคิดว่า จะทำให้ประชาชนรู้เท่าทัน และความนิยมของคนคนนั้นจะลดลง กลับไม่ลดลงเลย เพราะถูกนำไปช่วยในการวาดภาพว่าตนถูกกลั่นแกล้ง ช่วยให้ระดมผู้สนับสนุนให้ลุกขึ้นต้านได้ง่ายขึ้นอีก
2.การปฏิวัติรัฐประหาร การบอยคอตต์ไม่ลงเลือกตั้ง นายอภิสิทธิ์บอกว่า จำเป็นจะต้องทำหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ทำแล้วได้ผลหรือไม่ พบว่า ไม่ได้ผลเลย
“ถามว่ามีข้อสรุปในประเด็นนี้ไหม ไม่มี แต่ก็มีการพูดกันว่า อาจจะต้องแยก คือ ใครทำหน้าที่เรื่องกฎหมาย ใครทำหน้าที่เรื่องตรวจสอบ ก็ต้องทำไป แต่ในการต่อสู้ทางการเมือง ต้องปรับเปลี่ยนใหม่ คือ แทนที่จะไปสู้กับตัวผู้นำคนนั้น ควรไปสนใจประชาชนที่สนับสนุนเขามากกว่า ว่า ปัญหาที่เขาอยากให้แก้ไขคืออะไร ทำอย่างไรจะสื่อสารและเสนอสิ่งที่ดีกว่า ที่แก้ปัญหาอย่างยั่งยืนให้กับประเทศ ให้เขามั่นใจ และเลือกตรงนี้ได้ ซึ่งยากมาก เพราะในทุกประเทศพบว่า แรงสนับสนุนที่มีต่อผู้นำประเภทนี้ มาจากความรู้สึกเป็นหลักว่าผู้นำเหล่านี้เข้าใจความทุกข์ ความเดือดร้อน หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า one of us พวกเดียวกับเรา ที่น่าตกใจคือในอิตาลี แบร์ลุสโคนี่ จะพูดเลยว่า ตัวเขาเองไม่ได้เป็นคนดี แต่ว่าท่านทั้งหลายก็ไม่ใช่คนดีไม่ใช่เหรอ เพราะฉะนั้นเราไม่ได้แตกต่างกันเลย ทำนองเดียวกันกับคำของเราที่ว่า โกงก็ไม่ว่า แต่ขอให้แบ่งเราบ้าง”
นายอภิสิทธิ์เล่าว่า สิ่งที่ต่างไปจากประเทศอื่นๆ คือ ไทยเรามีรัฐประหารเกิดขึ้น ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของประเทศทางตะวันตกอยู่แล้ว ที่สำคัญก็คือ เมื่อรัฐประหารแล้ว ความพยายามที่จะแก้ปัจจัยที่นำมาสู่ความเสียหายไม่ค่อยเกิดขึ้น โดยในที่ประชุมมีท่านหนึ่งกล่าวว่า ไทยหมกมุ่นแต่การแก้กฎหมาย คิดว่าจะเอากฎหมายไปแก้ทุกปัญหาได้ จึงเขียนรัฐธรรมนูญเสียละเอียดยิบ มีกฎหมายลูก ตั้งองค์กรที่ในหลายๆ ประเทศเขาไม่เคยมี แต่สุดท้ายมันก็จะกลับไปประเด็นเดิมว่า จับได้ว่าทำผิด เอากฎหมายลงโทษได้ แต่ไม่สามารถนำไปสู่การทำให้เขาเสื่อมความนิยมได้เลย
ดร.เจิมศักดิ์ ถามนายอภิสิทธิ์ว่า “คุณอภิสิทธิ์ถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนการรัฐประหารไหมครับ”
“ครับ” นายอภิสิทธิ์ตอบ “คือเขาทราบนะครับ ว่าผมออกมานำเสนออะไรหลายอย่างที่เป็นทางออก ก่อนที่จะมีการรัฐประหารเกิดขึ้น แต่มันก็สายไป มันจึงไม่สำเร็จ และเขามองว่า เราปล่อยคนในประชาธิปัตย์ไปตั้ง กปปส. และประชาธิปัตย์ก็ไม่ยอมไปลงเลือกตั้ง ซึ่งเขามองว่า กปปส. ชัดเจนว่าต้องการให้เกิดรัฐประหาร และพอประชาธิปัตย์ไม่ลงเลือกตั้งก็ยิ่งเป็นปัจจัยเสริม แต่ผมก็บอกว่า
การประท้วงนั้น เกิดจากกฎหมายนิรโทษกรรมนะ เขาก็เห็นด้วยแต่ค้านว่า รัฐบาลก็ถอนออกไปแล้วนี่ ซึ่งผมก็บอกว่า มันไม่ได้จบจริงๆ หรอก มันยังกำกวมอยู่ หยุดอยู่แค่ชั่วคราว จนสุดท้ายเหตุการณ์มันบานปลายไป ซึ่งผมก็ได้พยายามเสนอทางออกแต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากคนที่รักษาการอยู่ในตอนนั้น รัฐประหารมันจึงเกิดได้”
ในท้ายที่สุด นายอภิสิทธิ์ได้เล่าว่า ผู้จัดเสวนาได้สรุปว่า เรื่องนี้มีความท้าทายมาก ว่าการออกมาแฉ ออกมาตอบโต้ ไม่ได้นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่เขาก็ตั้งข้อสังเกต เช่น ทรัมป์ ซึ่งแสดงออกซึ่งการเหยียดผิว เหยียดเพศ ดูถูกคนต่างชาติ ซึ่งเป็นค่านิยมที่รับไม่ได้ เขาก็เห็นด้วยที่พรรคเดโมแครต หรือใครต่อใครจะออกมาวิจารณ์ ตำหนิ ตอบโต้ แต่ในที่สุดก็ถูกตีกลับมาว่า เป็นชนชั้นนำที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของคนอเมริกัน ซึ่งการแฉ การตำหนิ ไม่ได้ทำให้ทรัมป์เสื่อมความนิยมลง ความนิยมยังเท่าเดิมหรือบางทีก็เพิ่มขึ้นด้วย แต่ถ้าไม่มีใครตำหนิหรือวิจารณ์เลย ก็จะกลายเป็น “บรรทัดฐานที่ต่ำลง” ของคนในสังคม
เขายังบอกอีกว่า การเอากฎหมายไปเล่นงานก็ไม่ได้ผลในทางการเมืองเช่นเดียวกัน แต่ก็ยอมไม่ได้ ที่จะให้สังคมบอกว่า ใครทำผิดกฎหมายก็ปล่อยไปซะ เพราะเขาตอบสนองความต้องการของสังคมได้ ดังนั้น กฎหมายก็ต้องรักษา แต่อย่าคิดว่า จะทำให้คนในสังคมตื่นรู้และละทิ้งจากคนคนนั้น มันเป็นเรื่องท้าทายจริงๆ
ส่วนเรื่องการแข่งขันในทางนโยบาย เขาก็ตั้งข้อสังเกตอีก ว่ามันอาจไม่ใช่จุดเปลี่ยน คือ ถึงจะมีคนเสนอนโยบายที่ดีกว่า ก็ไม่ได้แปลว่า คนจะหันมานิยม อย่างการสำรวจล่าสุดของสถาบันพระปกเกล้าถ้าดูในแง่นโยบาย พรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายที่คนนิยมสูงสุด แต่ความนิยมสูงสุดก็ยังอยู่กับฝ่ายของคุณทักษิณอยู่ดี เขาจึงตั้งข้อสังเกตไว้ว่า แม้กระทั่งเรื่องนโยบายนี้ ก็อาจไม่ใช่คำตอบอีก
ผมฟังคุณอภิสิทธิ์มาทั้งหมดนั้น ทำให้ผมเห็นภาพของประเทศไทยได้ชัดเจนมากว่า
1) อนาคตของประเทศจะเป็นอย่างไร อยู่ที่ “การเลือกของประชาชน” คือ เลือกจะอยู่กับความขัดแย้งแบบนี้ ด่าทอ จิกตีระหว่างสีกันต่อไป หรือเลือกที่จะมองหาอะไรที่เป็น “ความถูกต้องที่แท้จริง” ก่อน “ความถูกใจ” ถ้าประชาชนไม่พยายามอยู่กับความคิดต่างให้ได้ เอาตัวเองมาเป็น “นักรบ” ของระบบระบอบทีฝ่ายการเมืองปลุกปั้นขึ้นมา ทำสงครามตัวแทนแทนเขาอยู่ตลอดเวลา ก็จะเป็นประชาชนเองที่หาความสุขไม่ได้ อยู่ร่วมกันไม่ได้ และแผ่นดินจะเต็มไปด้วยภัยอันตรายจากขั้วข้างทางการเมืองมากขึ้น
2) ต้องเป็นประชาชนเอง ที่หวงแหนสิทธิของการ “มีตัวแทน” หรือไม่เช่นนั้นก็สร้างฉันทามติที่แน่ชัด ว่าจะเอาระบบการแต่งตั้ง ต้องเลือกว่าจะให้ “การเลือก” ของตนเป็นใหญ่ หรือการแต่งตั้งจากผู้มีอำนาจเป็นใหญ่ ถ้าเลือกอย่างแรก ผลการเลือกออกมาอย่างไร ต้องยอมรับและยินดี ที่จะให้ผู้ถูกเลือกเดินหน้าทำหน้าที่ตัวแทนไป บนความซื่อสัตย์สุจริต เมื่อใดก็ตามที่พบความไม่ซื่อสัตย์สุจริต ต้องพร้อมที่จะลงโทษ แม้ตนต้องเสียประโยชน์ เสียโอกาส จากการมีคนเหล่านั้นเป็นตัวแทน
3) นักการเมืองและพรรคการเมือง ต้องเข้าถึงความเป็นอยู่และความต้องการของประชาชนให้มากขึ้น สร้างนโยบายจากความต้องการ ไม่ใช่สั่งการจากข้างบนลงมา แต่ต้องเอาความต้องการที่แท้จริงจากประชาชนขึ้นไปสู่สภา สู่การแปลงเป็นวิธีปฏิบัติเพื่อตอบสนอง โดยมีสำนึกในความเป็น “ตัวแทนของราษฎร” มากกว่าตัวแทนของนายทุนหรือเจ้าของพรรค และประชาชนต้องไม่ชิงชังการตรวจสอบ ถ่วงดุล และคานอำนาจ ที่ทำกันในขอบเขตของระบบที่ออกแบบไว้
การ “เดินออกจากความขัดแย้ง” ในปัจจุบันนั้น ไม่มีใครจะเดินนำได้ เป็น “ประชาชนเอง” ที่ต้องแยกย้ายออกจากความขัดแย้งด้วยตัวเอง
ครั้นถึงเวลานี้ ที่ทำท่าว่าจะมีการเลือกตั้งต้นปีหน้า กระบวนการ “ปลุกผีทักษิณ” มาหลอกหลอน การสร้างบรรยากาศแห่งความเกลียดและความกลัว ก็กลับมาอีกหน วนในลูปเดิม นักการเมืองตลอดจนทหาร ไปกวาดต้อนนัการเมืองเดิมๆ มาเป็นฐานรองรับสู่อำนาจในวันหน้า สื่อก็พยายามทำให้เหลือแค่ 2 ตัวเลือก คือ ทหาร หรือทักษิณ จึงเกิดกระแส เอาลุงตู่ เป็นไม้กันหมา เป็นยันต์กันผี ซึ่งทำให้ปรัชญาของการ “เลือกเพื่อให้ตนมีตัวแทน” ไปทำงานในสภา แก้ปัญหา สร้างโอกาส และจัดสรรทรัพยากรอย่างสุจริตและเป็นธรรมในนามของตน หายไป แต่เป็น “สงครามตัวแทน” ที่ไม่รู้จบ
ครั้นนายอภิสิทธิ์เสนอว่า จะนำพาพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นทางเลือกที่ 3 กลับมีแต่สายตางุนงง เย้นหยัน จิกกัด เหน็บแนม
ดูเหมือนผู้คนยังสนุกกับการทำสงครามตัวแทน และพยายามลากพาเอาการเลือกตั้งมาเป็น “สนามรบหนึ่ง” อยู่ในเวลานี้!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี