แต่ก่อน ถือว่าเป็นกฎหมายอาถรรพ์...
เพราะนักการเมืองทุกยุค ชอบหาเสียงว่าจะเก็บภาษีจากฐานทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้าง แต่พอผลักดันร่างกฎหมายเข้าสภา ก็มีอันต้องแท้ง ยุบสภาไปก่อนจะทำคลอดออกมาเป็นกฎหมายสำเร็จ
สนช. ในยุค คสช. ใช้เวลากว่า 2 ปีครึ่ง ก่อนจะทำคลอดออกมาจนได้
ถือเป็นกฎหมายฉบับประวัติศาสตร์
แม้เนื้อหาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้หลายจุด แต่ถ้าจะมีนักการเมืองไม่เอาแต่โม้ ลงมือทำ หาเสียงเป็นนโยบายเลือกตั้ง ด้วยการประกาศจะยกเครื่องกฎหมายฉบับนี้ ให้จัดเก็บเงินภาษีได้เยอะขึ้น มีประสิทธิภาพขึ้น ก็ย่อมจะกระทำได้ โดยไม่ต้องไปเริ่มผลักดันกฎหมายจากศูนย์ แต่คิดว่า จะมีนักการเมืองพรรคไหนกล้าลงมือทำในเรื่องนี้ หรือไม่?
1. ที่ดินที่มีเอกสารสิทธิในประเทศไทย ราว 85-90% นั้น อยู่ในมือ
ของคนแค่ 6-7 ล้านคน
เรียกว่า คนส่วนน้อยแค่ 10% ของประเทศ ถือครองที่ดิน 90% ของทั้งหมด
มีการกระจุกตัวการถือครองที่ดินสูงมาก
ที่ดินจำนวนมากถูกทิ้งร้าง ไม่ได้ใช้ประโยชน์ หรือใช้ประโยชน์ไม่เต็มศักยภาพ เก็บไว้เก็งกำไร ฯลฯ
2. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามกฎหมายที่ผ่าน สนช.ไปนั้น จะเป็นรายได้ของท้องถิ่น
กฎหมายฉบับนี้ แบ่งที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ออกเป็น 4 ประเภท 1.ที่ดินเพื่อการเกษตร 2.ที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย 3.ที่ดินเพื่อพาณิชยกรรม 4.ที่ดินรกร้างว่างเปล่า โดยเพดานอัตราภาษี ดังนี้
2.1 ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม
หากมีมูลค่า 0 -75 ล้านบาท อัตราภาษี 0.01%
มูลค่า 75-100 ล้านบาท อัตราภาษี 0.03%
มูลค่า 100-500 ล้านบาท อัตราภาษี 0.05%
2.2 ที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย
หากมีมูลค่า 0-50 ล้านบาท อัตราภาษี 0.02%
มูลค่า 50-75 ล้านบาท อัตราภาษี 0.03%
มูลค่า 75-100 ล้านบาท อัตราภาษี 0.05%
มูลค่า 100 ล้านบาทขึ้นไป คิดอัตราภาษี 0.1%
ประการสำคัญ กฎหมายได้เปิดช่องยกเว้น สำหรับชาวบ้านทั่วไปที่มีบ้านหลังหลักหลังเดียว หากเป็นเจ้าของบ้านและเจ้าของที่ดินให้ได้รับการยกเว้นภาษี 50 ล้านบาทแรก
แต่ใครล่ำซำ มีบ้านมากกว่า 1 หลัง หลังที่สองเป็นต้นไป ก็โดน
ภาษีตั้งแต่แรก ตามอัตราข้างต้น
เพราะฉะนั้น เปรียบเทียบอย่างง่าย หากชาวบ้านทั่วไปมีบ้านราคาไม่เกิน 50 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นภาษี
หากบ้านราคา 51 ล้านบาท แต่เป็นบ้านหลังหลัก ได้รับการยกเว้น 50 ล้านบาทแรก ก็เหลือ 1 ล้านบาท ต้องเสียภาษี 0.02% ก็เท่ากับว่าต้องเสียภาษี 200 บาทต่อปี
หรือถ้าหากมีบ้านราคา 100 ล้านบาท แต่เป็นบ้านหลังหลัก ได้รับการยกเว้น 50 ล้านบาทแรก ก็เหลือ 50 ล้านบาท ต้องเสียภาษี 0.02% ก็เท่ากับว่าต้องเสียภาษี 10,000 บาทต่อปี
แต่ถ้าหากเป็นที่ดินและบ้านพักอาศัยหลังที่ 2 เป็นต้นไป จะต้องเสียภาษีตั้งแต่บาทแรกที่อัตรา 0.02% ยกตัวอย่างเช่น หากเศรษฐีมีบ้านราคา 1 ล้านบาท ก็ต้องเสียภาษี 100 บาทต่อปี หากมีบ้านราคา 5 ล้านบาท ก็ต้องเสียภาษี 1,000 บาทต่อปี หากมีบ้านราคา 10 ล้านบาท ก็ต้องเสียภาษี 2,000 บาทต่อปี และหากมีบ้านราคา 50 ล้านบาท ก็ต้องเสียภาษี 10,000 บาทต่อปี เป็นต้น
2.3 ที่ดินเพื่อพาณิชยกรรม
หากมีมูลค่า 0-50 ล้านบาท อัตราภาษี 0.3%
มูลค่า 50-200 ล้านบาท อัตราภาษี 0.4%
มูลค่า 200-1,000 ล้านบาท อัตราภาษี 0.5%
มูลค่า 1,000-5,000 ล้านบาท อัตราภาษี 0.6%
มูลค่าตั้งแต่ 5,000 ล้านบาทขึ้นไป อัตราภาษี 0.7%
2.4 ที่ดินรกร้างว่างเปล่า
คิดอัตราภาษีเริ่มต้น 0.3% และเพิ่มขึ้น 0.3% ทุก 3 ปี หากยังไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์ แต่รวมทั้งหมดแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 3
พูดง่ายๆ คือ ต้องการกระตุ้นให้มีการใช้ประโยชน์จากที่ดินว่างเปล่า ไม่ใช่ปล่อยทิ้งไว้เก็งกำไรเฉยๆ
3. ประการสำคัญ แม้กฎหมายนี้ให้เวลาเตรียมตัวนานมาก กว่าจะเริ่มใช้อัตราการจัดเก็บภาษีและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ก็โน่น วันที่ 1 ม.ค. 2563
แถมยังมีบทเฉพาะกาลว่า ใน 3 ปีแรกของการจัดเก็บภาษีตามกฎหมายฉบับนี้ให้ยกเว้นการจัดเก็บภาษีแก่เจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เป็นบุคคลธรรมดาและใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรกรรม
ประเด็นที่ว่า จะไปรีดเก็บภาษีที่ดินจากเกษตรกร มันจึงไม่จริง
4. แน่นอน กฎหมายทุกฉบับย่อมจะมีข้อด้อย ซึ่งสามารถจะแก้ไขเพิ่มเติมได้ภายหลัง
คงต้องรอดูว่า สภาผู้แทนราษฎรยุคหลังเลือกตั้ง จะมีแนวคิดแนวทางแก้กฎหมายให้สามารถจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิม หรือไม่?
เพราะกว่ากฎหมายจะผ่าน สนช.ได้ ก็ลุ้นกันยาวนาน
เนื่องจาก สนช.จำนวนไม่น้อย ก็เป็นผู้ถือครองที่ดินเยอะ
ส่วนสภาผู้แทนราษฎร ที่มีสมาชิกพรรคการเมืองต่างๆ ก็เคยมีงานวิจัยพบว่า เป็นผู้ถือครองที่ดินมหาศาล มโหฬารขนาดไหน
ผลวิจัยเรื่องการกระจุกตัวของความมั่งคั่งในสังคมไทย ของ ดร.ดวงมณี เลาวกุล อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รวบรวมข้อมูลการถือครองที่ดินของนักการเมืองและอดีต สส. (ที่แจ้ง ป.ป.ช.)
ณ เดือนมิถุนายน 2556 รวม 507 คน จาก 11 พรรคการเมือง
พบว่า นักการเมืองจาก 10 พรรค ถือครองที่ดิน 35,786 ไร่!!!
นักการเมืองคนที่ถือครองที่ดินมากที่สุด ประมาณ 2,000 ไร่
พรรคเพื่อไทย มีอดีต สส. 282 คน ถือครองที่ดินรวมมากที่สุด 17,897 ไร่ มูลค่ารวม 7,132 ล้านบาท
พรรคประชาธิปัตย์ มีอดีต สส. 151 คน ถือครองที่ดินรวม 12,675 ไร่ มูลค่ารวม 6,513 ล้านบาท
พรรคภูมิใจไทย มีอดีต สส. 33 คน ถือครองที่ดินรวม 3,034 ไร่ มูลค่ารวม 570 ล้านบาท
พรรคชาติไทยพัฒนา มีอดีต สส. 18 คน ถือครองที่ดินรวม 938 ไร่
พรรคชาติพัฒนา มีอดีต สส. 7 คน ถือครองที่ดินรวม 546 ไร่
พรรครักษ์สันติ มีอดีต สส. 1 คน ถือครองที่ดิน 358 ไร่
พรรคมหาชน มีอดีต สส. 1 คน ถือครองที่ดิน 231 ไร่
พรรคมาตุภูมิ มีอดีต สส. 2 คน ถือครองที่ดินรวม 78 ไร่
พรรคพลังชล มีอดีต สส. 7 คน ถือครองที่ดินรวม 18 ไร่
พรรครักประเทศไทย มีอดีต สส. 4 คน ถือครองที่ดินรวม 11 ไร่
ลองคิดดูว่า สภานักการเมืองที่มีเศรษฐีที่ดินมหาศาลขนาดนี้ จะผ่านกฎหมายภาษีที่ดินที่มีหน้าตาดีกว่า หรืออัปลักษณ์กว่า หรือไม่มีวันผ่านเลย?
รอดูว่าหลังเลือกตั้ง จะมีนักการเมืองพรรคไหน ยกเครื่องกฎหมายภาษีที่ดินให้มีประสิทธิภาพกว่านี้ หรือไม่?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี