ในช่วงหลังๆ การท่องเที่ยวของไทยผูกปิ่นโตไว้กับอาคันตุกะจากประเทศจีนเป็นอย่างมาก เรียกว่าเป็นหลักเลยก็ว่าได้ ด้วยปัจจัยสนับสนุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระยะการเดินทางที่ไม่ไกล ความสะดวกของการเดินทางทางอากาศที่มีจุดเข้า-ออกเชื่อมต่อมากมาย ความกระหายของนักท่องเที่ยวจีนพร้อมด้วยทุนทรัพย์เต็มกระเป๋า รวมถึงความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว ทั้งสวนรุกขชาติ ร้านรวงและสินค้า อาหาร โบราณสถาน วัดวาอาราม เรียกได้ว่า เมืองไทยเรานี้มีครบเครื่อง แถมด้วยความโอบอ้อมอารีของชาวไทย ที่มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับขับสู้แขกบ้านแขกเมืองอีกด้วย
แต่ท่ามกลางความโดดเด่นดีงามต่างๆ นานา ทางทรัพยากรการท่องเที่ยวชนิดแทบไร้เทียมทานของไทยนั้น ก็ยังมีตัวร้ายแอบแฝงอยู่ในสังคมเป็นธรรมดา เช่น การโกงกิน หลอกลวง เอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว จากบรรดาผู้ประกอบการต่างๆ ซึ่งก็ต้องเป็นเรื่องที่เจ้าบ้านเจ้าเมืองฝ่ายปกครองจะต้องคอยกวดขันดูแลรับผิดชอบเป็นธรรมดาเช่นกัน
ซึ่งหากเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น ก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไปตามเรื่องตามราว โดยองค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้องก็จะต้องช่วยกันดูแลกำกับกันเองอย่างเข้มงวดอีกด้วย เพื่อมิให้ลูกแอปเปิ้ลเน่าแค่ลูกเดียว ส่งผลกระทบไปทั้งตะกร้า
แต่ถ้าปัญหานั้นเกิดจากฝีมือเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองเอง ก็คงไม่ใช่เรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นจาก ข้าราชการชั่วร้าย ขี้ฉ้อ หรือข้าราชการไม่เอาไหน ไม่รับผิดชอบ เรื่องแบบนี้บานปลายไปเป็นเรื่องใหญ่ระหว่างประเทศได้โดยง่าย ดังนั้นจะปล่อยปละละเลยไม่ได้ ผู้บังคับบัญชา ผู้เป็นคณะรัฐบาลต้องเอาจริงเอาจังอย่างเข้มงวด
ยกตัวอย่างกรณี เรือท่องเที่ยวล่มลง ที่นักท่องเที่ยวชาวจีนตายเป็นร้อย การโทษเจ้าของเรือ และกัปตันเรือก็เป็นเรื่องหนึ่งหรือด้านหนึ่ง แต่ภาครัฐก็ต้องหันมาทบทวนตรวจสอบเรื่อง กระบวนการควบคุมการออกเรือ การสัญจรตามเส้นทาง รวมถึงมาตรการการดูแลเรื่องสภาพอากาศ ควบคู่กันไป และเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หน่วยงานใดและผู้บังคับบัญชาใดเป็นเจ้าภาพของเรื่องอย่างแน่ชัด
นอกจากนั้น การข่มขู่ รีดไถ กักขัง นักท่องเที่ยว โดยเจ้าหน้าที่ ณ ท่าอากาศยาน ก็เป็นอีกเรื่องที่เลื่องลือ ไม่ใช่เฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีนแต่เพียงเท่านั้น ก็พอจะสะท้อนให้ต้องตรวจสอบในทางลับว่า เป็นฝีมือของข้าราชการคนไหน จะปล่อยให้เกิดขึ้นเป็นเนืองนิตย์ย่อมไม่ได้
นั่นคือในทางนโยบาย หากแต่ในทางปฏิบัติแล้ว ดูเหมือนว่าทั้งหมดนี้ กระบวนการหาความจริงกลับไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ยิ่งการใช้กฎหมายบังคับ ก็ช่างดูยืดยาด ล่าช้า ดูไม่จริงจัง ดูจะเป็นเรื่องคลื่นกระทบฝั่งดั่งเรื่องอื่นๆ ในสังคมไทยเช่นเคย
เพราะไม่รู้ว่าใครรับผิดชอบ และจะมีใครที่จะออกมารับผิดชอบ
รัฐบาลจีนเข้ารับผิดชอบกับคนของเขา นอกจากนั้น เขาก็ต้องการให้ฝ่ายรัฐบาลไทยเราร่วมรับผิดชอบด้วย เพราะถือเป็นภาระร่วมกัน อันเนื่องมาจากเป็นการมีผลประโยชน์ร่วมกัน ดังนั้น ไทยจะเอาแต่ได้ โดยหลับหูหลับตากับเรื่องสูญเสีย เรื่องเสียหายต่อนักท่องเที่ยวเหล่านี้มิได้
แต่คงเพราะไทยเรานั้นนิยมการแก้ไขปัญหาแบบไทยๆ นั่นคือ แก้แบบผิวเผิน ผิดประเด็น มาช้านาน โดยคนไทยเองจะเรียกร้องอะไร ก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงจากทางภาครัฐ ก็เลยพาลคิดไปด้วยว่าคนชาติอื่นคงดักดานเหมือนกับคนไทย ที่จะต้อนไปยังไงก็ได้
ผลลัพธ์ก็คือ เมื่อเรื่องร้องเรียนไม่คืบหน้า รัฐบาลเขาก็ต้องบอกคนเขาให้ระมัดระวัง ให้ชะลอ หรือหนักเข้า ก็ให้ไปเที่ยวที่อื่น ถึงเขาไม่บอกตรงๆ คนของเขาก็ตระหนักได้เองจากปากต่อปาก เพราะความลับปิดไม่อยู่ในเรื่องความไม่รับผิดชอบของทางการไทย ต่อการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องของเจ้าหน้าที่ของเรา
ต่อมา ชาวไทยเราก็เลยได้เห็นคนระดับเสนาบดีมาออกโทรทัศน์พูดเชิญชวนให้คนจีนมาเที่ยวไทยเยอะๆ โดยใช้ทั้งภาษาจีน (ที่แสดงความเป็นลูกจีน-ไทยของผู้พูด) และภาษาไทย
ก็ถือว่า ช่างเป็นการมองโลกในแง่ดีเสียเหลือเกิน ที่เชื่อว่า แค่มาออกโทรทัศน์แล้วทำแบบนี้ ก็จะสามารถดึงดูดความไว้เนื้อเชื่อใจจากนักท่องเที่ยวชาวจีนกลับมาได้ จะทำให้รัฐบาลจีนเขารู้สึกอุ่นใจได้ ซึ่งคนไทยหลายคนก็คงเห็นว่าพฤติกรรมนี้มันดูไร้ความคิด ไร้ปัญญาสิ้นดี อีกทั้งการที่คิดว่าตัวเองนั้นมีบารมี มีต้นทุนความน่าเชื่อถือ จนสามารถโน้มน้าวชาติอื่นๆ ที่เขาเข็ดขยาดกับการดูแลที่ไม่ดีจากภาครัฐของไทยเป็นการให้ความสำคัญกับตัวเองสูงเสียเหลือเกิน ไม่ถ่อมเนื้อถ่อมตน และคิดว่าจะหลอกชาวบ้านและชาวจีนได้ง่ายๆ
การจะทำให้นักท่องเที่ยวจีนแห่กลับมาเที่ยวไทยได้ มีอยู่ทางเดียว คือนั่งลงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงความผิดพลาดต่างๆ ที่เขาร้องเรียนมา แล้วเดินหน้าแก้ไขอย่างจริงจัง และจริงใจ รวมทั้งการเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนของเขาได้เข้ามาสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลง ให้คนที่เข้ามาได้ความรู้สึกดีๆ ว่าข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับการบริหารของเจ้าหน้าที่ไทยในหมู่
นักท่องเที่ยวจีนนั้นไม่มีเหลืออีกแล้ว มีแต่การบริการที่ซื่อสัตย์ รวดเร็ว เป็นมิตร และมีคุณภาพ
เมื่อความประทับใจเกิดขึ้น เขาก็จะบอกต่อกันไป ว่าประเทศไทย คือปลายทางการท่องเที่ยวที่ดี ที่คุ้มค่า ควรจะได้มา หรือได้กลับมาเยี่ยมเยียนกันบ่อย เมื่อนั้น เศรษฐกิจการท่องเที่ยวก็จะไหลลื่น ดังเคย ผู้ประกอบการการท่องเที่ยวก็จะได้ยิ้มออก ไม่ต้องมานั่งกุมขมับ นั่งบ่นกันว่า ไม่รู้นักท่องเที่ยวหายไปไหน เหมือนอย่างทุกวันนี้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี