หลายคนกำลัง “มึนงง” กับคำว่า “ฝ่ายค้านอิสระ” หรือ “ฝ่ายค้านสร้างสรรค์” อันเป็น “แนวทางหนึ่ง” ที่พรรคประชาธิปัตย์อาจเลือกที่จะเป็น เพื่อยืนหยัดหลักการสำคัญที่ว่า การเมืองไทยหรือประเทศไทย ไม่จำเป็นต้องยืนอยู่บน “ความขัดแย้ง” และ “ห้ำหั่น” กันไปมาไม่จบไม่สิ้น
นานนับ 10 ปี ที่บ้านเมืองของเราจมอยู่กับคำว่า “เอาทักษิณ” หรือ “ไม่เอาทักษิณ” เราผ่านการตรวจจับทุจริตทักษิณ บอยคอตต์การเลือกตั้ง ชุมนุมต่อต้าน และรัฐประหาร คำถามคือ “ทักษิณหายไป” หรือ “ความนิยมของทักษิณ” จบไปด้วยไหมครับ
แล้วอะไรทำให้คนยอม “หวังลมๆ แล้งๆ” กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพรรคพลังประชารัฐ ว่าจะสามารถกำจัดระบอบทักษิณให้ถึงกาลอวสานได้ ให้หมดไปจากแผ่นดินไทยได้ ก็ในเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจเต็มมือ มีอำนาจพิเศษ ที่สั่งให้ใครหยุดหรือทำอะไรก็ได้ ใช้งบประมาณแผ่นดินโดยไม่มีฝ่ายค้าน เป็นรัฐบาลที่แทบไม่มีกระทู้ถามสดและไม่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจเลย กลับไม่ทำให้ฝ่ายทักษิณ “สิ้นไป” จากการเลือกตั้งครั้งนี้ได้เลย ทั้งๆ ที่เอาอดีต สส. และแกนนำชุมชน หัวคะแนน ไปอยู่กับตัวเองมากมาย ยังไม่รวม “คนเสื้อแดง” และผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นทั้งหลายอีก ผลการเลือกตั้ง พรรคฝ่ายทักษิณยังเข้าเส้นชัยแทบจะพอๆ กับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมี “อาณัติสัญญาณหนุนช่วย” เยอะแยะมากมาก ทั้งบนดิน “บนฟ้า” และแม้กระทั่ง “ใต้ดิน”
ผมจึงไม่เชื่อในระบบการ “บีบความคิด” ของประชาชนคนเลือก ว่ามีแค่เอาทักษิณ ไม่เอาทักษิณ หรือมีแค่จะเอาทักษิณหรือจะเอาประยุทธ์ จะรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หรือจะปล่อยให้ฝ่ายทักษิณมีอำนาจและบ่อนทำลายสิ่งเหล่านี้
ผมเชื่อในความแตกต่างหลากหลายของผู้คน ซึ่งเราต้องให้สิทธิเขาเลือกอย่างเป็นอิสระ บนกติกาที่ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ และให้เขารู้ว่า การเมืองไม่ใช่มีแค่ 2 ชั่ว 2 ก๊ก 2 ฝั่ง คุณกำลังเลือก ผู้แทนราษฎร” ไม่ใช่เลือกคนไปทำสงคราม เพื่อรบกันเอง
ประเทศชาติเป็นบ้านเกิดเมืองนอน ไม่ควรถูกเปลี่ยนเป็น “สนามรบ” ด้วยการปั่นหัวคนให้ “บ้าคลั่ง” ใครที่ทำอย่างนั้น ผมถือว่าเขาดูถูกประชาชน เห็นประชาชนเป็นสัตว์ที่พร้อมจะกัดกัน ขวิดกัน ชนกัน แค่ทำให้มั่น “ตกมัน” หรือ “คลุ้มคลั่ง” เท่านั้น ขณะที่เขาเป็น “คนคุมเกม”
การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาผมจึงเลือกพรรคประชาธิปัตย์ด้วยเหตุผลว่า
1.ผมเบื่อหน่ายการเผชิญหน้า ความขัดแย้ง และการแย่งกันเป็นคนดี-คนร้าย เต็มทีแล้ว 10 ปีมาแล้ว ที่เราถูก “จับกดหัว” ให้ “จม” ลงไปในความเกลียดชังกัน โกรธแค้นกัน ชนิดไม่อยากจะร่วมแผ่นดินเดียวกัน และรอวันที่จะได้ “กดหัว” อีกฝ่ายหนึ่งคืน อาฆาตพยาบาทกันไม่มีวันจบสิ้น แต่แน่นอน ผมไม่เลือกฝ่ายทักษิณอยู่แล้ว
2.ผมนึกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเข้ามาเป็นแค่ คนกลาง” สร้างกติกาที่รอบคอบ แข็งแรง ป้องกันการโกง ป้องกันเผด็จการรัฐสภา ป้องกันสถาบันที่เราเคารพรัก เพราะคน “เผชิญหน้ากับระบบ” ดีกว่าให้คนเผชิญหน้ากับคนด้วยกัน เพราะคนฆ่ากัน มันง่ายกว่าฆ่าระบบ แต่เปล่าเลย ท่านกลับลงมาเล่นกับเขาด้วย และดูเหมือนว่า แม่น้ำสายต่างๆ ของท่าน ประดิดประดอยระบบนำร่องนำทาง เหมือนปูพรมให้ท่านเดินสู่การเป็นนายกรัฐมนตรีรอบที่ 2 ซึ่งท่านมีสิทธิ แต่หากเปรียบกับนักวิ่ง ลู่วิ่งของท่าน ราบเรียบกว่าลู่คนอื่นเขา ผมไม่เอากระบวนการ “ทีใครทีมัน” แบบนี้ เพราะทักษิณเคยใช้กระบวนการ “แก้กฎหมายให้ตนเองได้ประโยชน์” ครอบงำองค์กรอิสระจนเกิดฉายา “สามหนาห้าห่วง” มาแล้ว ซึ่งผมรังเกียจวิธีการเช่นนั้นมาก เมื่อมาเห็นเงารำไรแบบเดิมๆ เกิดขึ้นอีกรอบ ผมรู้สึกท่านทีว่า ผมไม่ควรสนับสนุน “ใครก็ตาม” ที่ใช้วิธีเช่นนั้น การตัดสินใจของผมไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ว่าเขาชื่ออะไร หน้าตาเป็นอย่างไร การเลือกหรือไม่เลือกของผมจึงไม่ได้เกิดจากการชิงชัง “ตัวบุคคล” แต่ผมชิงชัง “วิธีการ” บางอย่างที่ผมเห็น
3.เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศแนวทางที่จะ “ไม่พาคนกลับไปสู่ความขัดแย้ง” ที่เขาเรียกว่า ทางเลือกที่สาม หรือก๊กที่สาม ผมจึงพบ “พาหนะ” ที่ผมจะโดยสารไปด้วย ไปเพื่อซ่อม เพื่อสร้าง ไม่ใช่เพื่อสู้
4.ผมไม่ได้ยก 1 คะแนนของผมให้แก่พรรคประชาธิปัตย์เพราะอยากให้คุณอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ หรือประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลโดยตรง แต่ผมให้เพราะพรรคมีหลักการที่สร้างสรรค์ ไม่หาประโยชน์จากความขัดแย้ง ความโกรธ ความกลัว ความเกลียด ของคนในชาติ เขาไม่ “หาประโยชน์” จาก “อารมณ์ที่อ่อนแอที่สุด” ของเพื่อนร่วมชาติ ผมรู้สึกว่า นี่เป็นหนทางสะอาด มีเกียรติ มีอุดมการณ์ และรักชาติอย่างที่สุด รักชนิดที่ยอมเล่นเกมยาก เพื่อจะลากประชาชนออกมาจากความขัดแย้ง โกรธเกลียดซึ่งกันและกัน และการจะได้คุณอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ได้พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลนั้น เป็น “กำไร” และ “โอกาส” ของประเทศชาติ ที่จะได้นโยบายดีๆ ที่ผ่านการคิดมาแล้ว ให้สอดรับกับงบประมาณที่ดี โดยไม่เป็นประชานิยมฟุ้งเฟ้อ ไม่ภัยต่อวินัยการเงินการคลังของประเทศ สรุปว่าทั้งหลักการในการเสนอตัวเป็นทางเลือกที่ 3 และหลักการออกแบบนโยบาย ล้วนเป็นหลักการและวิธีการที่ไม่ฉวยโอกาส รอบคอบ ระมัดระวัง และห่วงใยประเทศชาติเป็นที่สุด คือตัวตัดสิน บนความเชื่อถือต่อตัวบุคคลและคณะบุคคลที่พรรคประชาธิปัตย์มี
5.แต่แล้วพรรคประชาธิปัตย์ก็แพ้การเลือกตั้ง ซึ่งในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามล้านเก้าแสนรู้สึก “เสียดาย” แต่ไม่ฟูมฟาย โทษนั่นโทษนี่ การเลือกตั้งมีแพ้มีชนะ แค่รู้สึกว่า หลายคนที่เราเฝ้าจับตาดูมาเป็นระยะเวลายาวนาน แล้วพบว่าเขาตั้งใจทำงาน เป็น สส.ที่ดีมาก่อน ไม่คดไม่โกง ไม่ทอดทิ้งพื้นที่ เช่น คุณเจิมมาศ จึงเลิศศิริ อ.สามารถ มะลูลีม ดร.สรรเสริญ สมะลาภา คุณอรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ คุณธนา ชีรวินิจ ดร.รัชดา ธนาดิเรก อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อย่างนี้ เขาเป็นคนที่มีคุณค่าต่อคนในพื้นที่ที่เขาเป็น “ผู้แทน” และมีคุณค่าในสภาผู้แทนราษฎร ทำไมเขาไม่ได้รับโอกาสจากผู้เลือก เสียดายตัวเลือกใหม่ๆ อย่างหมอเอ้ก ไอติม พรพรหม ธนัตถ์ และเสียดายนโยบายดีๆ ที่ถูกออกแบบไว้ชนิดที่ “ลงมือทำได้ทันที”
6.ผลการเลือกตั้งมันสะท้อนการ “เลือกข้าง” ไม่เน้นเลือกคนหรือเลือกนโยบายอย่างชัดเจนมาก 3 พรรคที่คะแนนนำ ล้วนหาเสียงบนการกำหนดให้คนต้องเลือกฝ่ายตนและมีศัตรูเพื่อจะไปต่อต้านหรือกำจัดศัตรูร่วมกันทั้งนั้น
7.อภิสิทธิ์ ไม่สร้างศัตรูให้คนเกลียด-กลัว แล้วมาเลือกตัวเอง ทำการเมืองสร้างสรรค์ว่าประชาชน ประเทศชาติ มีปัญหา เราเดินออกจากสงครามไปฆ่าปัญหาที่รุมเร้าพวกเรากันก่อนดีกว่า เลยถูกบดขยี้ในตอนต้นว่าแทงกั๊ก ครั้นประกาศชัด ไม่เอากับฝ่ายทักษิณ ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ในท่ามกลางบรรยากาศที่ถูก “กำหนดความรู้สึกของคน” เอาไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว ว่าจะต้านทักษิณหรือต้านประยุทธ์ (ซึ่งมีความหมายที่ไกลไปกว่าตัวคนชื่อประยุทธ์ด้วย) ทางที่ 3 หรือก๊กที่ 3 ถูกเขี่ยทิ้ง ซึ่งหมอเอ้กบอกว่า ไปยืนในจุดที่ไม่มีผู้คน (no man’s land) ไปหาเสียงบนแผ่นดินที่รกร้าง แทบไม่เหลือแล้วมั้งครับ คนบนแผ่นดินที่อยากไปพ้นจากความเกลียด ความโกรธ และความกลัว
8.เมื่อแพ้ ได้ สส. ไม่ถึง 100 คน นายอภิสิทธิ์ประกาศลาออกทันที เพื่อรักษาไว้ซึ่ง “สัจจะ” โดยกล่าวในตอนท้ายของการแถลงลาออกว่า “ผมกราบขอบพระคุณทุกท่านที่ได้ให้กำลังใจผม ให้การสนับสนุนผมมาตลอดเวลา ผมขอเรียนว่า ความตั้งใจของผมในการทำงานให้กับพี่น้องประชาชน ให้กับพรรค ไม่มีเสื่อมคลาย แต่ผมต้องรักษาคำพูด เพราะหนึ่งในเรื่องที่เราต้องสร้างให้ได้ก็คือ สัจจะของนักการเมือง ผมขอขอบพระคุณทุกท่านอีกครั้งหนึ่งที่ให้กำลังใจมาโดยตลอดครับ ขอบคุณครับ”
9.ท่ามกลางความระส่ำระสายของพรรคประชาธิปัตย์ คิดไม่ออก บอกไม่ถูก ว่าจะยืนหยัดหลักการเดิมหรือจะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ตามแรงกดดันทั้งภายในและภายนอก ก็ปรากฏข้อเสนอเรื่อง “เป็นฝ่ายค้านอิสระ” หรือ “ฝ่ายค้านสร้างสรรค์” สิ โดยเฉพาะไอติม-พริษฐ์ วัชรสินธุ ก็เสนอแนวทางทำนองนี้ ถูกคุณน้า คุณลุง คุณปู่ ลากไป “เชือดโชว์สาธารณะ” ซะไม่เหลือชิ้นดี แต่ผมคิดว่าประชาธิปัตย์ควรสร้างมิติใหม่เช่นนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้นะครับ
10.ฝ่ายค้านอิสระ หรือฝ่ายค้านสร้างสรรค์ คืออะไร ง่ายนิดเดียวครับ ประกาศเลยว่า จะเป็น พร้อมกับอธิบายว่า นี่ไม่ใช่การรวมกับขั้วใดขั้วหนึ่ง แต่เป็นการยืนยันหลักการเดิมว่า ความขัดแย้งหรือการเผชิญหน้าไม่ใช่ทางออกของประเทศ ประเทศมีทางเลือกมากกว่ารวมฝูงกันไปตีอีกฝ่ายหนึ่ง ประชาธิปัตย์จะขอทำหน้าที่นิติบัญญัติ ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างสร้างสรรค์ ไม่สักแต่ค้านไปเสียทุกเรื่อง กฎหมายฉบับใดดี มีหลักการที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ถึงจะเป็นฝ่ายค้านก็ยกมือสนับสนุนได้ นั่นรวมไปถึง “กฎหมายการเงิน” ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายงบประมาณแผ่นดินหรือการกู้ต่างๆ หากเป็นไปอย่างถูกต้อง สุจริต และก่อประโยชน์อย่างแท้จริง ประชาธิปัตย์จะยกมือสนับสนุน นี่จะเป็นมิติใหม่ของฝ่ายค้านและการเมืองไทย ที่ไม่ยืนบนหลักว่า พวกใคร คนนั้นถูก แต่ถูกเพราะถูก ไม่ใช่ถูกเพราะเป็นพวกเรา เราจึงยกมือหนุน
11.แล้วใครจะเป็นรัฐบาลล่ะ นี่จะไม่ช่วยกันปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เหรอ? ปกป้องครับ แต่ไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับใครทั้งนั้น รัฐธรรมนูญกับบทเฉพาะกาลอนุญาตให้ที่ประชุมร่วมของสองสภาเลือกนายกฯ เลือกไปสิครับ ยังไงก็เลือกได้ ประชาธิปัตย์จึงไม่ใช่ทางตันของบ้านเมืองครับ เพราะด้วยเสียง สส. กับ สว. ที่อยู่นอกเหนือจากประชาธิปัตย์ มากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ ต่อให้ “ลุงตู่” ต้องเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ก็อยู่ได้ หากทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง สุจริต เพราะฝ่ายค้านสร้างสรรค์ไม่รังเกียจที่จะยกมือผ่านร่างกฎหมายที่ดี ที่รัฐบาลเสนอเข้าสภา หรือจะใจดีถึงขั้นว่า ให้ สส.ประชาธิปัตย์เลือกเลยจะโหวตใครเป็นนายกฯ แต่เราไม่ร่วมรัฐบาลนะ จะได้ตัดขาดข้อครหาว่า “มีคนอยากเป็นรัฐมนตรี” โดยเฉพาะคนที่ “แก่แล้ว” คนที่มีแววว่าอนาคตทางการเมืองอยู่ในโค้งท้ายๆ ที่จะมีโอกาสได้เป็น “รัฐมนตรี” ทำอย่างนี้เพื่อยืนยันว่า ประชาธิปัตย์ไม่ไปต่อรองเอาผลประโยชน์ และรัฐบาลไม่มีสิทธิจะทำอะไรนอกลู่นอกทางได้ ดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย โดยไม่ต้องเอาความรักชาติหรือความจงรักภักดีมาป้ายสีกัน
12.แล้วไม่เสียดายโอกาสจะได้ทำงาน ได้ผลักดันนโยบายดีๆ หรือ? เราทำงานครับ เป็นฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายค้านที่สร้างสรรค์ไงครับ นั่นก็คืองานสำคัญที่ต้องมีคนทำ ทำโดยไม่ได้คลั่งแค้น เกลียดชัง เหมือนอีกพวกที่ทำด้วยซ้ำไป ส่วนนโยบายดีๆ หากรัฐบาลอยากเอาไปทำ เอาไปเลยครับ ทำเลย เพราะประโยชน์ตกอยู่กับประชาชน เราไม่หวงครับ
ประชาชนถูกทำให้กลัว จนเลือกตั้งโดยที่หลายพื้นที่ ไม่รู้จักคนที่ได้เป็นตัวแทนของตัวด้วยซ้ำ เพราะห่วงแต่เลือกขั้ว เลือกข้าง ประชาธิปัตย์-เพียงเพราะพ่ายแพ้การเลือกตั้ง จะยอม “กลัว” ว่าจะไม่มีอนาคตเหลืออยู่ตามคำขู่ของหลายคนในเวลานี้ไปกับเขาด้วยหรือครับ ยืนหยัดและยืนยันสิครับ ว่าเราจะทำการเมืองมิติใหม่ให้ได้ เพื่อบอกว่า เรายังเชื่อในทางเลือกที่ 3 ว่านำพาบ้านเมืองพ้นภัย และนำใจคนออกจากความชิงชังต่อกันได้-อย่างแท้จริง
พร้อมเพรียงกันพิสูจน์เถอะครับ อย่าอ่อนแอ อย่าเป็นพรรคเพื่อไทยที่ทำสัตยาบันไว้ ว่าใครรวมเสียงได้ก็จัดตั้งรัฐบาลได้ ไม่ต้องเป็นผู้ชนะอันดับ 1 แล้วก็ทิ้งสัจจะนั้นแล้ว อย่าเป็นธนาธร ที่บอกว่า “เราจะไม่มีวันยกมือให้บุคคลที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” แล้วทิ้งสัจจะนั้น มาประกาศหนุนคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะไม่ได้เป็น สส.
บ้านเมืองเราเต็มไปด้วยนักการเมืองตระบัดสัตย์ มีสักพรรคได้ไหมครับ ที่จะยืนหยัดว่า “สัจจะ” คือคุณค่า คือการบอกประชาชนว่า เราเคารพสัญญาที่ให้กับคุณ...เสมอ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี