ไม่ว่าจะยุคสมัยใด เรื่องปากท้องของประชาชนถือเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้นๆ ของผู้นำประเทศ ทำให้ความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจนั้น แทบจะแยกกันไม่ออกกับเรื่องการเมือง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว :
- ถ้าเศรษฐกิจจะเดินหน้าได้ การเมืองต้องมีเสถียรภาพ
- ถ้าจะให้เศรษฐกิจดี ทุกคนในสังคมต้องมีโอกาส
- ถ้าจะให้เศรษฐกิจก้าวหน้าอย่างยุติธรรม ทุกหมู่เหล่าต้องมีส่วนร่วม
แต่ที่เศรษฐกิจติดขัด ก็มักเป็นเพราะฝ่ายการเมืองต่างมีเรื่องคาใจต่อกันและเหินห่างประชาชน ด้วยเศรษฐกิจที่ดีนั้นไม่สามารถอยู่ท่ามกลาง ความขัดแย้ง ความไม่ไว้วางใจ และการเอารัดเอาเปรียบได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชาประกาศไว้ว่า ให้เอาเรื่องเศรษฐกิจ หรือปากท้องมาก่อน ส่วนเรื่องการเมืองขอเก็บใส่ลิ้นชักดองไว้ก่อน ก็เลยเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดพอสมควร
หลักพื้นฐานในการบริหารประเทศก็คือ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดๆ ก็จะต้องจัดการหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน โดยต้องมุ่งแก้ปัญหาต่างๆ ของสังคมเป็นสำคัญ จะไปเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เพียงอย่างเดียวตามอำเภอใจมิได้ เพราะความต้องการ และความจำเป็นของประเทศต่างหากที่เป็นตัวกำหนดภารกิจของรัฐบาล
หลายปีที่ผ่านมา สังคมไทยนั้นมีปัญหาเรื่องความสามัคคี อันสืบเนื่องมาจากการเห็นต่างทางการเมือง และการใช้วิธีการแก้ปัญหาด้วยการใช้อำนาจเกินขอบเขตอำนาจโดยมิชอบ รวมทั้งการดำเนินการนอกกรอบสันติวิธี และได้ผลลัพธ์ของการผูกเจ็บ อาฆาตแค้น มุ่งหักล้าง ทำลายล้างต่อกัน ทับถมปัญหาที่ค้างคาอยู่
และในวันนี้ สังคมไทยก็มีความเห็นต่างกันในเรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง (แม้ว่าผลประชามติในตอนนั้นจะออกมาในเชิงบวก แต่ฝ่ายเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ต่างกันไม่มาก ไม่ชนะขาด) โดยยอมให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่าน และเมื่อถูกนำมาใช้งานจริง ก็ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นสังคมกึ่งประชาธิปไตยกึ่งเผด็จการ (ทหาร) ผสมกับการเป็นสังคมกึ่งตัวแทนราษฎร และกึ่งข้าราชการเป็นอำมาตย์ปกครอง
จากกติกาแปลกๆ ที่ไม่สอดคล้องกับประชาธิปไตยสากลของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ทำให้พอพูดได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้นั้นได้ทำให้สังคมไทยถดถอยในเรื่องประชาธิปไตย และขัดกับเจตนารมณ์ของการเปลี่ยนรูปโฉมประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายสังคมไทยไว้ว่า เราคนไทยทุกคนจะมุ่งหน้า ร่วมกันเสริมสร้างประชาธิปไตย มิใช่พยายามบั่นทอนบอนไซกันอย่างที่เห็นกันอยู่อย่างทนโท่
คู่ขัดแย้งก็เลยกลายมาเป็นฝ่ายที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยฝ่ายประชาชนผู้รัก หวงแหนสิทธิเสรีภาพ ผู้ต้องการให้กฎหมายรัฐธรรมนูญให้เป็นกฎหมายที่เสริมสร้างสิทธิเสรีภาพพลเมือง จึงมีความต้องการแก้ไขสาระเนื้อหาของรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่สอดคล้องกับสากล (โดยได้มีนักการเมืองที่สูญเสียอำนาจให้กับทางกองทัพผสมโรง เข้ามาร่วมกับฝั่งนี้ด้วย) อีกฝ่ายหนึ่งคือ ฝ่ายรัฐบาล ที่เป็นผู้จัดทำกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งก็คงไม่ได้จะสนใจที่จะไปแก้ไขใดๆ เนื่องจากฝ่ายตนเองนั้นได้ประโยชน์เต็มๆ แต่ด้วยต้องอาศัยการสนับสนุนจากบรรดานักการเมืองบางส่วนเพื่อเข้าร่วมรัฐบาล ก็เลยหยอดยาหอมให้กับสังคม ด้วยคำว่า “ศึกษา” การแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เนื้อแท้แล้ว ไม่ได้จริงใจ หรือมีความมุ่งมั่นใดๆที่จะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นเสรีประชาธิปไตยอย่างที่ประชาชนเขาต้องการกัน และฉะนั้น จึงยกเงื่อนเศรษฐกิจ
และฉะนั้น การที่ประกาศไว้ว่า เอาเรื่องปากท้องไว้ก่อน ลืมๆเรื่องการเมืองไปก่อน ดังกล่าว จึงเป็นการแสดงความเห็นแก่ตัวเป็นการเอารัดเอาเปรียบสังคม และประชาราษฎร เนื่องด้วยตนเองนั้นยึดติดกับอำนาจ จึงไม่ต้องการให้ใครมาวุ่นวายกับประเด็นทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะส่งผลให้เกิดการลดทอนอำนาจของตนเองลง
ผู้ที่ปฏิเสธการส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางของสังคม โดยพื้นฐานก็ถือผู้ที่ไม่คู่ควรในการนำพาสังคมประชาธิปไตย แทนที่จะพยายามแก้ไขปัญหาความแตกแยกทางสังคม ให้เสร็จสิ้น เพื่อที่จะช่วยให้ปัญหาทางเศรษฐกิจคลี่คลายตามไป แต่กลับปล่อยให้สังคมไทยแตกแยกต่อไปจนในที่สุดสภาวะการไร้ความสามัคคียิ่งเพิ่มขึ้น
หากเลือกที่จะดำเนินนโยบายเช่นนี้ต่อไป ก็เท่ากับว่า ฝ่ายรัฐบาลประยุทธ์นั้นเองที่เป็นตัวปัญหา ซึ่งทำการตอกย้ำความแตกแยก และเชื้อเชิญให้เกิดการต่อต้านจากสังคมเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ก็ได้แต่หวังว่า นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้หยุดนิ่ง ตั้งสติทบทวน ว่าการจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ต้องแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองไปพร้อมๆ กัน
เศรษฐกิจจะไปได้ดียาก หากประเทศตกอยู่ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่ไม่เอื้ออำนวย โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายรัฐบาลถูกตอแย ถูกแรงบีบคั้นจากทั้งใน และนอกประเทศ ในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน การลิดรอนสิทธิเสรีภาพ การใช้กฎหมายต่างๆ เป็นเครื่องมือตัดแข้งตัดขาผู้เห็นต่างทางการเมือง
หากจะหลับตาข้างหนึ่ง มองข้ามเรื่องความขัดแย้งในสังคมเรื่องรัฐธรรมนูญ เรื่องประชาธิปไตย รวมทั้งปัญหาการต่อรองอำนาจของผู้ร่วมรัฐบาล และการจ้องล้มรัฐบาลจากฝ่ายค้านไป แล้วสนใจกันที่แผนแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว อย่างที่นายกฯ ขอมา ก็จะพบว่า การตัดสินใจต่างๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจนั้น ขาดความโปร่งใส และไม่ค่อยเป็นคุณประโยชน์ต่อบ้านเมืองเท่าที่ควร เพราะรัฐบาลตัดสินใจชนิดคิดเองเออเอง มิได้ฟังเสียงประชาชน ทำให้ขาดความเชื่อมั่นจากสังคม ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ ก็มาจากการที่การปฏิรูปการเมืองมิได้เกิดขึ้นจริง ก็เลยมิได้เกิดการมีส่วนร่วมไม่มีการถ่วงดุล สังคมไม่มีการเข้าถึงซึ่งข้อมูลข่าวสารจากรัฐ ประชาชนก็ไม่สามารถตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้อย่างที่ควรจะเป็น
โดยทั่วไปแล้ว ไม่ว่าใคจะมาบริหาประเทศไทยก็ตาม เศรษฐกิจของเราก็มักจะไปได้ด้วยตัวของมันอยู่แล้วในระดับหนึ่งซึ่งมีอัตราการเจริญเติบโตทั่วไปของ GDP ไทยอยู่ประมาณ 3-4% นั่นก็เพราะภาคเอกชน ภาคเกษตร มีทักษะ อีกทั้งบรรพบุรุษไทยได้เลือกทำเลประเทศไว้ดี แถมมอบมรดกประเพณีวัฒนธรรม ศิลปะ โบราณสถาน เพื่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวซึ่งพื้นฐานตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศไทยในระดับนี้ มิใช่เรื่องของฝีมือของรัฐบาลใดๆ ที่จะยกมาเป็นผลงานได้
หากรัฐบาลจะแสดงฝีมือให้เห็น ก็น่าจะเป็นเรื่องการนำพาประเทศไทยให้สามารถหลุดพ้นจากกับดักการพัฒนา (Middle Income Trap) รวมทั้งเสริมสร้างความเป็นเลิศและขีดความสามารถในการแข่งขัน
แต่จากสถิติ และผลงานตลอด 5 ปีที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ สะท้อนให้เห็นว่า ดีแต่พูด ดีแต่ฮั้วกับบริษัทครอบครัวกลุ่มทุนขนาดใหญ่ แล้วเอาเงินภาษีของส่วนรวมไปโปรยให้ประชาชนบางหมู่เหล่า เพื่อปลูกฝังลัทธิแบมือ ลัทธิพึ่งพา และปิดปากการเรียกร้องใดๆ เท่านั้น
5 ปี ของการไร้ฝีมือที่ผ่านมา ก็น่าจะละอายใจกันบ้าง แต่นี่ยังจะมาขอต่ออายุการทำงานของตนเองอีก 4 ปี แล้วใครจะไปเชื่อว่าจะแก้ไขปัญหาปากท้องให้ดีขึ้นได้จริงๆ โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลนี้อยู่ท่ามกลางความไม่ไว้ใจ ท่ามกลางความขัดแย้ง ความในใจต่างๆ นานาดังกล่าว
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อเตือนสติกัน ว่ารัฐบาลถึงเวลาที่จะปรับกระบวนยุทธ์ได้แล้ว ต้องมุ่งแก้ปัญหาการเมืองก่อน ทำเรื่องการเมืองให้เข้าที่เข้าทาง ระหว่างนั้นก็ตั้งทิศทางเศรษฐกิจให้เรียบร้อย เมื่อความขัดแย้งทางการเมืองคลี่คลาย เศรษฐกิจก็พร้อมเดินหน้าเต็มกำลัง และหลังจากนั้นประเทศก็จะก้าวหน้าไปอย่างมั่นคง เพราะประชาชนมีความเชื่อมั่นมีความศรัทธาว่าการบริหารงานของรัฐบาลมีความโปร่งใส อันมีพื้นฐานมาจากการเปิดโอกาสให้สังคมไทยมีส่วนร่วมอย่างเสรี
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี