เราชาวไทยทุกหมู่เหล่าคงจะยังจำกันได้ ในกรณีที่คุณทักษิณ ชินวัตร มุ่งมั่นที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแม้จะมีปัญหาเรื่องการแจงทรัพย์สินตามกฎหมาย โดยมีข้อแก้ต่างที่ทันสมัยมากในยุคนั้น นั่นคือ “ผิดพลาดด้วยบริสุทธิ์ใจ”
ซึ่งในขณะนั้นกระแสสังคมสนับสนุนคุณทักษิณมาแรงมาก จากแทบทุกภาคส่วนในสังคม โดยในที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ได้มีมติ 8 ต่อ 7 ยอมรับข้อแก้ต่างของคุณทักษิณ ชินวัตร จนสามารถฟันฝ่าข้อหาการแจงทรัพย์สินไม่ครบ และขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมใจพ่อยกแม่ยกทั้งหลาย
เหตุการณ์หลังจากคุณทักษิณขึ้นครองอำนาจ เป็นอย่างไร ชาวไทยทั่วไปก็รู้ๆ กันอยู่ เพราะหลังจากนั้นต่างก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากการที่ คุณทักษิณ ชินวัตร เอาความปรารถนาดีและความไว้วางใจของประชาชนไปปู้ยี่ปู้ยำ และทิ้งเคราะห์กรรมให้ประชาชนชาวไทยบากหน้าฟันฝ่ากันต่อมาจวบจนปัจจุบันนี้
และไม่นานมานี้ กลุ่มคนไทย โดยเฉพาะที่จัดว่าเป็นพวกชนชั้นกลาง ระดับกลาง และสูง และชนชั้นสูง ทั้งในแวดวงการเมือง ราชการ ธุรกิจ วิชาการ และผู้มีอันจะกิน มีการศึกษาสูงๆ โดยทั่วไป ต่างก็มีความปรารถนาที่จะให้คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในตำแหน่งไปให้นานแสนนาน เพราะเห็นว่าทำให้บ้านเมืองสงบ มีเสถียรภาพ (จะด้วยเหตุปัจจัยใดไม่สนใจ ไม่ต้องคำนึงถึง)
นั่นก็เพราะต่างมีความเชื่อมั่นว่า คุณประยุทธ์ และคณะข้าราชการทหาร พลเรือน ตำรวจ รวมกัน แม้จะทำความฝันต่างๆ ของคนไทยให้เป็นจริงไม่ได้ แต่ก็ยังมีความประพฤติดีกว่าพวกนักการเมืองสามานย์
นอกจากนั้น กระแสสนับสนุนก็มาจากความเชื่อที่ว่าคุณประยุทธ์ สามารถยันทัพ คุณทักษิณไว้ได้ ซึ่งก็คงหลงลืมไปแล้วว่า บรรดาประชาชนต่างหากที่ได้ออกมารวมตัวแสดงพลังต่อต้านไม่ให้คุณทักษิณสามารถยึดครองบ้านเมืองเบ็ดเสร็จได้
คนเหล่านี้จึงมีความเชื่อว่า การเมืองไทยต้องอยู่กับทหาร ถึงจะไปรอดได้
ด้วยเหตุปัจจัย หรือความปรารถนาสุดหัวใจที่จะให้คุณประยุทธ์ สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปเรื่อยๆ ก่อนและหลังการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา จึงได้มีการดำเนินการต่างๆ นานา ที่จะส่งผลให้คุณประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป จากกรอบคณะรัฐบาลทหารมาสู่คณะรัฐบาลทหารผสมพลเรือน เช่น
1) การกำหนดให้วุฒิสมาชิก (ซึ่งรัฐบาลทหาร คสช. เป็นผู้เลือก และแต่งตั้งทั้งหมด) ร่วมลงคะแนนในรัฐสภาเลือกนายกรัฐมนตรี ได้
2) การเสนอให้คุณประยุทธ์ มีชื่ออยู่ในกลุ่มรายชื่อ 3 ชื่อของพรรคการเมืองหนึ่งพรรค เพื่อให้รัฐสภาเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีได้ โดยมิต้องเป็นสมาชิกรัฐสภา
3) การตีความกติกาเลือกตั้งที่แสนวุ่นวาย และพลิกแพลงทั้งในเรื่อง สส. พึงมี และ คะแนนขั้นต่ำต่อ สส. ปาร์ตี้ลิสต์ จนส่งผลให้ พรรคเล็กพรรคน้อยที่มีคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ น้อยกว่าคะแนนขั้นต่ำต่อ สส. ปาร์ตี้ลิสต์ สามารถตบเท้าเข้าสภาได้สิบกว่าพรรค และร่วมกันไปยกมือเลือกคุณประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย
4) การตีความให้คุณประยุทธ์ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ใดๆว่าด้วยคุณสมบัติของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งทางการเมือง นั่นคือ คุณประยุทธ์ ไม่ได้เป็นทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ และไม่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐอื่นๆ (โดยอยู่ในฐานะเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ เป็นประธานคณะ คสช. ซึ่งดำรงตนเป็น “รัฐ” ที่อยู่เหนือกว่าสิ่งอื่น หรือกฎเกณฑ์กติกาหนึ่งใด นั่นคงแปลว่า คุณประยุทธ์ เป็นมนุษย์พิเศษ อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของรัฐ) ฉะนั้น คุณสมบัติก็เลยไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ สามารถเป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่สอง ภายใต้บริบทกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 ได้
สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ แม้จะขัดความรู้สึก แต่ก็พอจะเข้าใจกันได้ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญก็ดี สำนักผู้ตรวจราชการแผ่นดินก็ดี ต่างเป็นองค์กรการเมือง มิใช่องค์กรศาลสถิตยุติธรรม การตีความต่างๆ นอกจากจะใช้หลักนิติศาสตร์แล้ว ยังใช้หลักรัฐศาสตร์เข้ามาร่วมด้วย
เช่นเดียวกับวันที่เราเคยอยากให้คุณทักษิณ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีใจจะขาด เพราะเขาแสนจะเก่ง จะต้องเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดียอดเยี่ยมอย่างแน่นอน และศาลรัฐธรรรมนูญในขณะนั้น ก็ลงมติให้ผ่านอย่างเฉียดฉิวดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
และบัดนี้ ในกรณีของคุณประยุทธ์ เราต้องถามตัวเองดังๆว่า กระแสที่พยายามผลักดันให้คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปให้ได้นั้น ด้วยการตีความกฎหมายต่างๆที่ขัดต่อสำนึก รวมทั้งสังคมไทยไม่เคยได้รับการชี้แจงแถลงไขจากตัวคุณประยุทธ์เอง (ทั้งๆ ที่มันเป็นกติกาที่เขาเขียนกันเองทั้งสิ้น)
นี่เรากำลังทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยหรือไม่?
ในยุคคุณทักษิณ เราได้เห็นภาคประชาชนออกมาโวยวาย แสดงความไม่พอใจเมื่อองค์กรอิสระ (เช่น กกต.) ตัดสินค้านสายตาประชาชนไปในทางที่เอื้อประโยชน์ให้กับคุณทักษิณ โดยมองว่าองค์กรเหล่านั้นถูกแทรกแซง และครอบงำจนนำไปสู่การรวมตัวเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับสังคม
ซึ่งก็น่าแปลกที่ในวันนี้ ในกรณีคุณประยุทธ์ พ่อยกแม่ยกประชาธิปไตยกลับทำเฉยๆ คล้ายกับว่า ต่างสมใจที่ คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นนายกรัฐมนตรี กุมอำนาจบริหารประเทศต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องไปคำนึงถึงความเหมาะสม ถูกต้อง หรือเจตนารมณ์ของประชาธิปไตยใดๆ
อำนาจนั้นอาจใช้เพื่อยัดเยียดความชอบธรรมให้กับสังคมได้ แต่หากอำนาจนั้นมิได้มาด้วยความถูกต้อง ก็เป็นอำนาจโดยมิชอบ ส่วนจะคงอยู่ได้นานแค่ไหน ก็ขึ้นกับว่า สังคมนั้นๆ จะได้สติ และสามารถแยกแยะความถูกต้องได้ช้าเร็วแค่ไหนเท่านั้น
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี