คำว่า จีนคอมมิวนิสต์ กับ ขงจื๊อ อาจดูไม่เข้ากัน และไม่น่าจะไปกันได้ เพราะแต่ไหนแต่ไรมา แนวความคิดของคอมมิวนิสต์ได้ยืนอยู่บนพื้นฐานการปฏิเสธคำสั่งสอนความเชื่อถือ และประเพณีวัฒนธรรมแบบเก่าๆ โดยเฉพาะที่บ่งบอกลำดับชั้น และสถานะของผู้คนในสังคม
แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ พรรคคอมมิวนิสต์ และรัฐบาลจีนก็ได้จัดตั้งสถาบันขงจื๊อขึ้น เพื่อใช้เป็นเครื่องมือกลไกตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ว่า เพื่อส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีน และการทำความรู้จักกับประเทศจีน รวมถึงการกระชับความสัมพันธ์ของจีน กับประเทศต่างๆ ในระดับประชาชนต่อประชาชน ซึ่งปัจจุบันมีสาขา 516 แห่งทั่วโลกใน 142 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย
ถ้ามองในแง่การเมืองระหว่างประเทศหน่อย ก็จะเห็นว่า จีนกำลังดำเนินการการทูตแบบสาธารณะ (Public Diplomacy) เพื่อสร้างความนิยมชมชอบให้กับจีน และป้องกันภาพลักษณ์ภาพพจน์ของจีนให้ยั่งยืน
ดูแบบผิวเผิน ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี หรือเป็นเรื่องที่พอรับได้ว่า ทำไมจะไม่ให้ลูกหลานและผู้สนอกสนใจเกี่ยวกับจีนได้เล่าเรียนภาษาจีน และทำความรู้จัก ความเข้าอกเข้าใจ เกี่ยวกับจีนเล่า ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผลดี
แต่ประเด็นมิได้อยู่ที่ตัวประชาชนแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่รัฐ หรือรัฐบาลหนึ่งใด ก็สมควรจะต้องสอดส่องดูแล พินิจพิเคราะห์ว่า ที่จีนเขามาแบบนี้นั้น นอกจากให้คนต่างชาติรู้ภาษาจีน และรู้จักจีนแล้ว เขามีความประสงค์อื่นใดอีกหรือไม่ เพราะในฐานะของรัฐแล้ว จะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ ผลได้ผลเสียของประเทศชาติตนเองด้วย หรือนัยหนึ่งก็ต้องศึกษาวิเคราะห์ให้ถ่องแท้ว่า จีนเขาเข้ามาจัดตั้งสถาบันขงจื๊อ และเข้ามาร่วมมือกับไทยในเรื่องจีนศึกษาต่างๆ นั้นเป็นเพราะเขาหวังดี และจริงใจเพียงแค่นั้นหรือ
จุดเริ่มต้นที่ผู้นำประเทศ แวดวงวิชาการและอื่นๆ นั้นจะต้องตระหนักรู้ว่า จีนนั้นเป็นคอมมิวนิสต์ ปกครองด้วยพรรคการเมืองพรรคเดียว สังคมการเมืองแท้จริงจึงเป็นแบบเผด็จการ อำนาจผูกขาดและรวมศูนย์ ครอบงำสังคมอย่างหมดจด ฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในจีนจึงถือเป็นเรื่องการเมืองทั้งสิ้น กล่าวคือ ความเป็นไปต่างๆ ในจีนนั้น พรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลเป็นผู้คุม ควบคุม กำหนดความเป็นทั้งหลายทั้งปวงในสังคมจีน
ด้วยเหตุนั้น ที่มาที่ไปของสถาบันขงจื๊อจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ว่าเป็นเรื่องของการเมือง หรือเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของจีน นั่นก็คือ เพื่อให้เกิด “จีนนิยม” และให้เกิดการปฏิเสธเรื่อง หรือกลุ่มคนหรือประเทศ เช่น ไต้หวัน ที่จีนคอมมิวนิสต์แผ่นดินใหญ่ไม่ชอบ และไม่ต้องการให้มีที่ยืนบนเวทีประชาคมโลก
นอกเหนือจากการจัดตั้งสถาบันขงจื๊อในประเทศต่างๆ แล้ว จีนยังได้สั่งการให้บรรดามหาวิทยาลัยของจีน สร้างความร่วมมือทางด้านวิชาการกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศอีกด้วย
นอกจากนั้น จีนก็จัดการส่งนิสิตนักศึกษาไปศึกษาในต่างประเทศไปหาวิชา แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นกระบอกเสียงและปกป้องชื่อเสียง ภาพลักษณ์ของจีนด้วย
ที่เข้มข้นขึ้นมาอีก คือทุนจีนยังเข้าไปซื้อกิจการ หรือร่วมเป็นหุ้นใหญ่ในมหาวิทยาลัยต่างชาติ ซึ่งในกรณีของไทยเราเองก็มี 2 มหาวิทยาลัยเอกชน ที่ตกเป็นสมบัติของจีนไปแล้ว
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ประเทศต่างๆ เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีกับสถาบันขงจื๊อ และการฝังตัวของอิทธิพลจีนในแวดวงวิชาการ และเริ่มไหวตัวว่า จีนมิได้เข้ามาด้วยวัตถุประสงค์การร่วมมือกับแวดวงวิชาการ และส่งเสริมการร่วมมือทางวัฒนธรรมเพียงอย่างเดียว หากแต่มีเจตนาแอบแฝง คือ ขยายอิทธิพลของจีนด้วยการโน้มน้าว ครอบงำความคิดเห็นให้คล้อยตามไปกับจีน และประท้วงคัดค้าน ขัดขวางการกระทำใดโดยกลุ่มเห็นต่างที่ทำให้จีนจะเสียประโยชน์ เสียภาพลักษณ์
หนึ่งในประเทศนั้นที่ไหวตัวกับพฤติกรรมแอบแฝงของจีนก็คือ ออสเตรเลีย โดยรัฐบาลได้ตรากฎหมายให้มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการรับเงินช่วยเหลือจากจีน รวมทั้งให้หน่วยราชการลับคอยติดตามสอดส่องว่า สถาบันขงจื๊อ ภาควิชาจีนศึกษาก็ดี กลุ่มชมรมนักศึกษาก็ดีนั้น จะต้องไม่เข้ามาในออสเตรเลียแล้วทำตนเป็นเครื่องมือทางการเมืองของจีน และกำหนดให้การดำเนินการในองค์กรต่างๆ ของจีนต้องมีความโปร่งใส โดยจะต้องไม่มีพฤติกรรมการสอดแนม แทรกแซง หรือปั่นหัวใดๆ กับชาวออสเตรเลียทั้งสิ้น
สำหรับไทยเรา เป็นไปในทางตรงกันข้ามกับออสเตรเลีย เพราะผู้นำประเทศมุ่งเปิดประตูให้จีนอย่างเต็มที่ ส่งผลให้แวดวงวิชาการต่างๆ อ้าแขนรับการร่วมมือ
และความช่วยเหลือจากจีน ถึงขนาดบางองค์กรยอมปล่อยให้จีนเข้ามาซื้อกิจการไปเลย โดยไม่มีความเฉลียวใจใดๆที่ผ่านๆ มาก็อาจจะบอกว่าเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความไม่รู้ หรือด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ก็สุดแท้แต่แต่ ณ วันนี้ หลายประเทศนอกจากออสเตรเลีย เขาต่างจริงจังกับการที่จีนใช้ “การศึกษา” เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพราะเขาไหวตัว หวงแหนอธิปไตยและศักดิ์ศรี จึงรีบดำเนินการแก้ไข โดยเขาไม่มัวแต่กลัวว่าจีนจะสวนหมัดแก้ทางด้วยการชะลอนักท่องเที่ยว ชะลอการลงทุน หรือชะลอการค้าขายด้วย เพราะผู้นำและประเทศเหล่านี้เขามีศักดิ์ศรี รักษาผลประโยชน์ชาติ และไม่เห็นแก่ได้และไม่โอนอ่อนต่อความไม่ถูกต้อง
ไทยเรา มิใช่ลูกไล่ของใคร
ไทยเรา มิใช่ไก่รองบ่อน
แต่จะเป็นได้ดังที่กล่าวนั้น
ผู้นำไทยจะต้องมีสติ ปัญญา วิริยะ และเอาจริงเอาจัง
ก็ได้แต่หวังว่า เมื่อสะกิดเตือนกันแล้ว หน่วยงานความมั่นคง และฝ่ายการเมืองจักได้ตื่น และดำเนินการในเรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างฉับพลัน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี