หยุดข่าวอื่นๆ ได้ทุกข่าว เมื่อ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ออกมาบรรยายพิเศษ “แผ่นดินของเราในมุมมองด้านความมั่นคง” เพราะข่าวนี้กลายเป็น“เรื่องใหญ่” ที่ดึงเอาทุกคนมาพูดในเรื่องเดียวกัน ว่าบิ๊กแดงทำเช่นนี้ถูกต้อง เหมาะสม แล้วหรือไม่
ผมเองก็ถูกตั้งคำถามง่ายๆ นี้ว่า “คุณเห็นด้วยกับที่บิ๊กแดงทำไหม”
คำถามง่ายดี แต่คำตอบไม่ควร “ง่ายไป”
เอาเป็นว่า เบื้องต้นผมจะยังไม่ตอบคำถามนี้หรอก เพราะมันเป็นการถาม “ความรู้สึก” มากกว่า “ความคิด
การจะวิจารณ์เรื่องนี้ ต้องใช้ “ความคิด”เพื่อ “ทองหลายด้าน”
ขอพูดถึง “หลักในการคิด” และ “พินิจพิจารณา” ให้ฟังก่อน
เรื่องนี้ มี 3 องค์ประกอบที่ต้องพิจารณากัน
1.เรื่อง “ตัวคน”
2.เรื่อง “ตัวบท”
3.เรื่อง “บริบท”
1) เรื่อง “ตัวคน” เริ่มจากดู “สถานะ” ของบิ๊กแดงก่อน สถานะของท่านที่สำคัญมีอยู่ 3 สถานะ หนึ่ง-คือ ข้าราชการประจำฝ่ายกองทัพ ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพบก สอง-คือ ผู้กุมอำนาจที่สามารถทำการรัฐประหารได้อันนี้เป็นสถานะทางการเมือง และ 3-คือ สถานะพิเศษ เป็นสถานะที่สังคมตีความเองว่าท่านเป็น “ตัวแทนที่ถูกเลือก”
ในสถานะแรก มีกฎเกณฑ์ของการทำหน้าที่หรือแสดงออกบางอย่างที่หาก “ล้ำเส้น” จะมีความผิด ซึ่งเรื่องนี้มีคนตั้งประเด็นตรวจสอบแล้ว ซึ่งดูเหมือนท่านพร้อมรับการตรวจสอบดังกล่าว ไม่ได้มีปัญหาใดๆ
ในสถานะที่สอง ท่านจะ “ถูกใช้” โดยขั้วตรงข้าม เพื่อ “ขยาย” และ “ขยี้” ว่านี่เป็นการส่งสัญญาณข่มขู่ ก้าวก่าย แทรกแซงทางการเมืองของกองทัพใช่หรือไม่
นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็น ผู้บังคับบัญชาจะว่ายังไง”
ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณี พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์
ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) บรรยายพิเศษหัวข้อ“แผ่นดินของเราในมุมมองด้านความมั่นคง” ว่า ตนเอาสาระสำคัญมาดูแล้วทั้งหมด เห็นว่าเป็นเรื่องของการปลูกฝังความรักชาติ ให้เข้าใจประวัติศาสตร์ว่าบ้านเมืองของเราว่ามีความเป็นมาอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการแก้ปัญหาภาคใต้ก็ไม่อยากให้ทุกอย่างเกิดความขัดแย้งหรือทำให้นโยบายเกิดการขับเคลื่อนไม่ได้ต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ ก็ขอให้ทุกคนระมัดระวังเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ฟังต้องแยกแยะ” สั้นๆ ไม่ “แตะต้อง” สถานะของบิ๊กแดงในมิติ “ผู้ใต้บังคับบัญชา” เลี่ยงไปตอบเรื่อง “เนื้อหา” แทน
ในสถานะนี้ เป็นคุณต่อฝ่ายตรงข้ามที่เล่นบท“ไม่เอาทหาร ไม่เอารัฐประหาร” และชิงความเป็น“ฝ่ายประชาธิปไตย” ไปแล้ว จึงนับเป็น “อีเว้นท์” ที่ฝ่ายตรงข้ามได้ประโยชน์ฟรีๆ โดยในกรณีนี้ผมยังไม่พูดถึงคุณและโทษของฝ่ายบิ๊กแดงและผู้สนับสนุนนะครับ เพราะมันจะยาว
ในสถานะนี้ ฝ่ายหนุนก็รัก เห็นท่านเป็น “วีรบุรุษแห่งความหวัง” ในท่ามกลางมนต์ขลังที่เริ่มเสื่อมถอยของวีรบุรุษคนเดิมคือ “ลุงตู่” นับเป็นการกำหนด “ตัวตาย
ตัวแทน” ที่ทำให้ฝ่ายหนุนอุ่นใจ ฮึกเหิม และ “ยอมรับได้” เพราะท่านกล้าหาญที่จะแสดงจุดยืนปกป้องชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ ส่วนฝ่ายไม่หนุนก็จะรีบขยำ ขยี้ ขยาย ทันทีว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องทางการเมืองแท้ๆ อีกแล้ว แต่มันมีมิติอื่นๆ แทรกเข้ามาในพื้นที่การต่อสู้ “เพื่อประชาธิปไตย” ของเรา ก็จะสร้างแนวร่วมเพิ่มขึ้นได้ง่ายขึ้นและชัดขึ้น ดีหรือไม่ดียังไม่พูดนะครับ แต่อีเว้นท์นี้ เป็นประโยชน์ต่อไปที่ “บิ๊กแดง” พูดถึงแม้ไม่ออกชื่อแน่ๆ ผมไม่รู้ว่าการพูดของบิ๊กแดงเพิ่มมวลชนฝั่งหนุนหรือไม่ แต่ฟันธงได้ว่า เพิ่มกองหนุนฝั่งค้านขึ้นมาแน่ๆ ไม่มากก็น้อย
เรื่องตัวคนไม่ได้หยุดอยู่แต่ “ผู้พูด” คือ “บิ๊กแดง” แต่บรรดา “พระอันดับ” ที่ไปนั่งเป็นสัญลักษณ์ ทั้งบนเวทีและด้านล่างของเวทีก็เป็น “สัญลักษณ์” อะไรบางอย่าง ที่ผู้จัดงาน “จงใจ” นำเสนอ และผู้ร่วมงานก็ “ยินดี”เข้าร่วมและแสดงตน ณ จุดนั้นๆ มันจึงเพิ่มน้ำหนักของการ “ถูกตีความ” ว่าเป็น “การเมือง” มากกว่าการบรรยายทางวิชาการ หรือทางฝ่ายความมั่นของอย่างเดียว
เรื่องตัวคนต้องมาจบที่ “คนรับข้อมูลข่าวสาร”อยู่ขั้วไหนข้างไหน มีผลต่อการได้ยินได้ฟังทั้งนั้น รักก็ปลื้มชังก็โกรธ ว่าทหารมาก้าวก่ายการเมืองทำไม ทำไมไม่วางตัวเป็นกลาง หรืออยู่ในที่ตั้งของตัวเอง พล.อ.ประยุทธ์ที่เวลานี้มาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว ยังไม่ทำขนาดนี้เลย “ตัวคน” ที่เป็น “ผู้รับข้อมูลข่าวสาร” จึงมีท่าทีและอคติเพราะรัก กับอคติเพราะชัง สร้าง “ผลลัพธ์” ในการรับฟังที่ต่างกันไป
2) เรื่อง “ตัวบท” มีประเด็นให้ต้องพิจารณามากมาย ขั้นต้นให้รู้เสียก่อนว่า มันถูกออกแบบเนื้อหามาให้เป็นองก์ๆ เช่น ปฐมบท, My dad and I, ประเทศของฉันกับภัยคอมมิวนิสต์, พระเจ้าอยู่หัวของพวกเรา,ภัยใหม่ของแผ่นดิน อย่างนี้เป็นต้น พอแยกองก์ของเรื่องได้แล้ว ค่อยมาแยกแยะ “คุณค่า” ของตัวบทนั้น (ซึ่งผมจะเขียนลงฉบับวันอาทิตย์นี้)
3) ตัว “บริบท” มุมที่ต้องพิจารณาก็คือ ทำไมต้องถ่ายทอดสด ทำไมต้องเปิดเป็นอีเว้นท์ทั่วไป ไม่ใช่อีเว้นท์เฉพาะกลุ่ม ทำไมต้องมีข่าวโหมโรงนำมาก่อน ว่าบิ๊กแดงจะมีการบรรยายที่บางฝ่ายอาจฟังแล้วหนาว ทำไมต้องเป็นเวลานี้ ทำไมเนื้อหาต้องชี้ไปทีพรรคการเมืองบางกลุ่มบางพรรค ในบริบทสังคมที่แตกแยกทางความคิดความเชื่อ มีความเป็นขั้วเป็นข้างและเป็นสี การบรรยายที่เกิดขึ้นนี้จะ “ส่งผล” อย่างไร
นี่คือกรอบของการพิจารณาเรื่องนี้ ซึ่งเห็นไหมครับ ว่ามันมีวิธีมองเรื่องนี้โดยไม่ต้องรีบหาคำตอบว่า คุณคิดยังไง บอกมา!!
ในแง่ของ “การตรวจสอบ” หรือการ “โต้กลับ” นอกจาก นายปิยบุตร แสงกนกกุล จะล้อ “หัวข้อ” เอาไปพูดโต้กลับแล้ว นายพีรเดช คำสมุทร สส.เชียงราย พรรคอนาคตใหม่ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ(กมธ.) การความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า
ที่ประชุม กมธ.มีมติทำหนังสือเชิญ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) เข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านความมั่นคงในวันที่ 21 ตุลาคม นี้
“เพราะหลังจากที่ ผบ.ทบ.ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อแผ่นดินของเราในมุมมองด้านความมั่นคง เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ที่ผ่านมา กมธ.เห็นว่าเรื่องนี้มีความสำคัญและมีความเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดียจำนวนมาก จึงได้ทำหนังสือเชิญ ผบ.ทบ.มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยทางคณะกรรมาธิการฯ คาดหวังว่าพล.อ.อภิรัชต์ จะให้ความร่วมมือในการเดินทางเข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในครั้งนี้”นายพีรเดช กล่าว
ขณะเดียวกันที่สำนักงานคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผ่านนายวราพงษ์ อินต๊ะโมงค์ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ เพื่อให้ดำเนินการไต่สวน สอบสวน เพื่อขอให้ใช้อำนาจตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 เพื่อไต่สวนสอบสวนกรณีที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวในการบรรยายพิเศษ เรื่อง “แผ่นดินของเราในมุมมองด้านความมั่นคง” เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ที่ผ่านมา เนื่องจากถ้อยคำที่มีลักษณะที่ไม่เป็นกลาง มีอคติต่อนักการเมืองบางคนบางกลุ่ม หรือบางพรรค อันส่อไปในทางขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรมหรือไม่
นายศรีสุวรรณกล่าวว่า ในการบรรยายครั้งนั้นมีคำพูดที่ไปกระทบต่อนักการเมือง จะเป็นใครพรรคใดอย่างไรก็แล้วแต่สถานะของผบ.ทบ.นั้นท่านรับข้าราชการทหาร ไม่ได้เป็นบุคคลธรรมดาทั่วไป ดังนั้นการกระทำของ ผบ.ทบ.ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์วินัยทหาร ซึ่งมีกฎหมายหลายฉบับที่ดูแลอยู่ทั้งระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยประมวลจริยธรรม 2551 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร 2476 ซึ่งจะมีบทบัญญัติค่อนข้างชัดเจนที่สั่งห้ามข้าราชการทหารมาดำเนินการในลักษณะที่ไม่เป็นกลางทางการเมือง
ทั้งนี้ คำพูดของ ผบ.ทบ.หลายต่อหลายคำ เป็นการเปรียบเปรยนักการเมือง ซึ่งจริงๆนักการเมืองจะชั่วจะเลวอย่างไรก็ถือเป็นตัวแทนของประชาชน ผ่านการเลือกตั้งมาอย่างถูกต้อง ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนด ดังนั้นผู้ที่มาเป็นข้าราชการกินจากภาษีประชาชน แล้วไปตำหนิติเตียนคนที่เป็นตัวแทนของประชาชนนั้น ตนมองว่าความเหมาะสมไม่มี จึงเข้าข่ายความผิดฝ่าฝืนระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยประมวลจริยธรรม 2551 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร 2476 รวมทั้งกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร และมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เนื่องจาก ผบ.ทบ.รัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็น สว.ด้วย หากป.ป.ช.พบว่าเป็นการกระทำความผิดจริงก็ได้ลงโทษตามกฎหมายป.ป.ช.ต่อไป
“แต่หากเรื่องนี้ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ ป.ป.ช.ก็สามารถส่งเรื่องนี้ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสุดท้ายถ้าเรื่องนี้ ป.ป.ช.ยกคำร้องหรือวินิจฉัยว่าไม่เข้าข่ายความผิดนั้นผมมองว่ามันจะเป็นมาตรฐานที่สำคัญว่าตอนนี้บุคคลใดที่รับหน้าที่ราชการ ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ หรือพลเรือน ก็สามารถที่จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองไปในทางที่ตนเองต้องการได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปยึดถือความเป็นกลางทางการเมืองตามที่กฎหมายกำหนดไว้อีกต่อไป”นายศรีสุวรรณ กล่าว
เรื่องนี้จึงต้อง “พิจารณา” กันให้ละเอียดที่สุดถึงผลดีผลเสียที่ตามมาจากการ “ทำ” ของบิ๊กแดง”ซึ่งอย่ามักง่ายเพียงจะตอบคำถามว่า ชอบหรือไม่ชอบ ดีหรือไม่ดี จาก “ความรู้สึก” เท่านั้น!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี