ต่อตระกูล : พุธที่ผ่านมา เราได้เขียนบทความเรื่อง“12 องค์กรวิชาชีพออกมาต้าน ทอท.ทำไม?” ในบทความได้แจ้งกำหนดการที่ นายไชยา พรหมา ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร จะจัดการประชุมวาระพิเศษ ในวันพุธที่ 27 พ.ย. เพื่อเชิญทุกฝ่ายมาให้ข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมาธิการ ซึ่งได้ปรากฏว่าทาง ทอท. ให้ความร่วมมืออย่างดีมากโดยครั้งนี้ นายนิตินัย ศิริสมรรถการ ผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. นำทีมมาด้วยตัวเอง ส่วน 12 องค์กรวิชาชีพก็มากันพร้อมหน้า
ต่อภัสสร์ : แล้วผลการประชุมชี้แจงในวันนั้น ได้ข้อสรุปอะไรบ้างไหมครับ ที่ผ่านมา 1 ปี เห็นแต่ข่าวโต้กันไปมา คนละทีสองที
ต่อตระกูล : วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือ วสท. แจ้งว่าพอใจกับการได้มาพูดคุยในเวที กมธ. นี้มาก โดยเขาออกรายงานสรุปหลังการประชุมว่า “...สรุปวันนี้ในที่ประชุมคืบหน้าไปประเด็นหลัก คือ ตามที่ ทอท. อ้างรายงาน ICAO ปี 2554 ว่าการก่อสร้างอาคารส่วนขยายตะวันออกทำได้ยากนั้น วสท. ได้ชี้แจงในที่ประชุมถึงรายละเอียด
ที่ได้ตรวจเอกสารและแบบก่อสร้างของ East expansion (ส่วนขยายปีกอาคารเดิมด้านตะวันออก) พร้อมแนวคิดของผู้ออกแบบแล้ว ยืนยันว่าทำการก่อสร้างได้ ไม่สร้างผลกระทบการให้บริการ รวมถึงการก่อสร้างที่ ทอท. แจ้งว่า East expansion (ส่วนขยายปีกอาคารเดิมด้านตะวันออก) มีการขุดดินชั้นใต้ดิน ที่จะใช้เวลาก่อสร้างและทำได้ยากนั้น วสท. ชี้แจงว่าสามารถใช้เทคนิคการก่อสร้างชั้นใต้ดินและชั้นบนอาคารพร้อมกันที่เรียกว่า Top down and bottom up constructionที่จะลดเวลาการก่อสร้างได้มาก ที่ปัจจุบันเมืองไทยทำมาหลายอาคารแล้ว (ประเด็นนี้ คุณทศพร ศรีเอี่ยม ตัวแทน วสท. ได้บันทึกว่า ทอท. โดยคุณนิตินัย ได้เอ่ยคำยอมรับตามที่ วสท. ชี้แจงในที่ประชุม
จึงเหลือเพียงประเด็นใหม่ที่ ทอท. หยิบมาแย้งว่าการขยายอาคารทางทิศตะวันออกและตะวันตกนั้นควรทำหรือไม่เมื่อเปรียบเทียบกับการก่อสร้างอาคารเทอร์มินอลตัดแปะหรือที่เรียกใหม่ว่าส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ ซึ่งประเด็นนี้ก็ตรงกับคำถามที่กรรมาธิการหลายท่านก็ถาม ทอท. ว่า ทำไมบริษัทท่าอากาศยานฯ จึงต้องสร้างอาคาร 42,000 ล้านใหม่ทั้งๆ ที่สามารถทำได้ถูกลง 30,000 ล้านบาท ถ้าหันมาทำการขยายตามแผนหลักเดิม โดยการสร้างต่อปีกอาคารเดิมด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกที่มีแบบไว้แต่เริ่มต้น แต่ได้ตัดออกไปก่อนเพื่อประหยัดงบการก่อสร้างในครั้งแรก
ต่อภัสสร์ : ผมก็ได้ดูในตารางเปรียบเทียบที่ ทอท. ได้ทำเผยแพร่นี้ จึงเห็นว่า ถ้าสร้างอาคารใหม่ขึ้นเลย ที่เรียกชื่อใหม่จาก เทอร์มินอล 2 เป็น “ส่วนต่อขยายทางทิศเหนือ” นั้น จะได้พื้นที่ได้มากกว่าไปขยายอาคารเก่ามาก จึงอยากรู้ว่า การสร้างอาคารเทอร์มินอลใหม่ขึ้นเลย มันน่าจะมีข้อดีอะไรบ้าง ที่ดีกว่าทำแค่ขยายปีกอาคารเทอร์มินอลเดิมออกไป หรือเปล่าครับ
ต่อตระกูล : ใช่เลยในเอกสารของ ทอท. นี้ มีข้อที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน คือ ถ้าสร้างแค่ขยายปีกออกไป 2 ข้าง ก็จะได้พื้นที่เพิ่มขึ้นมาสำหรับใช้ในการมีเคาน์เตอร์เช็คอิน และช่องตรวจ passport ทั้งขาเข้าและขาออกเพิ่มขึ้นสำหรับผู้โดยสารอีก 30 ล้านคนต่อปี แต่จะไม่สามารถขยายเพิ่มพื้นที่บริการความสะดวกอื่นๆ อันทันสมัย และจะไม่มีพื้นที่โอ่โถงกว้างขวาง ที่จะส่งเสริมการขายสินค้าปลอดภาษีให้เพิ่มขึ้นอีกได้ ทอท. เรียกพื้นที่ส่วนนี้ว่า Entertainment and Retail Complex
ดังนั้น ถ้าคิดในแง่การลงทุน ถ้าได้พื้นที่ขายสินค้าปลอดภาษีเพิ่มขึ้นอีก ทอท. ก็น่าจะมีรายได้จากการประกอบกิจการให้เช่าพื้นที่เพื่อการค้าขายได้เพิ่มขึ้น อาจจะทำให้มีผลกำไรส่งคืนให้รัฐเพิ่มขึ้น ซึ่งในแง่การประกอบการธุรกิจ ถึงลงทุนมากกว่าแต่จะเพิ่มรายรับได้มากกว่า ทอท. อาจจะคิดแบบนี้
ต่อภัสสร์ : ถ้าคิดในเชิงการลงทุนธุรกิจแบบนี้ก็พอจะเข้าใจได้ เพราะทุกวันนี้เห็นนักท่องเที่ยวมา
สนามบินที่ต่างๆ ก็ใช้เงินกันอย่างเต็มที่ ถ้ามีอาคารใหม่ที่มีพื้นที่จับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวเหล่านี้ใช้เงินในสนามบินเพิ่มขึ้น ทอท. ก็จะได้ส่วนแบ่งผลประกอบการเพิ่มขึ้น ไม่นานก็คงคุ้มทุนเงินลงทุนมหาศาลนี้
อย่างไรก็ตาม เราควรต้องพิจารณาด้วยว่า การใช้งานหลักของสนามบินนั้นคืออะไร ถ้ายังเป็นเพื่อการอำนวยความสะดวกสำหรับการเดินทางเข้า-ออกประเทศ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ ทอท. ได้สิทธิเก็บค่าผู้โดยสารผ่านเข้า-ออกประเทศแต่เพียงผู้เดียว เอกชนอื่นๆ มาแข่งขันไม่ได้ ที่ดิน 20,000 ไร่ที่มาใช้สร้างเป็นสนามบินก็ได้มาฟรีจากการเวนคืนที่ดินประชาชน งบลงทุนก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิจำนวน 45,000 ล้าน รัฐบาลก็กู้มาให้จากกองทุนของรัฐบาลญี่ปุ่น แล้ว การเพิ่มพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกในการจับจ่ายใช้สอยเป็นหลัก มากกว่าการอำนวยความสะดวกด้านอื่นๆ โดยเมินบทวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียที่เคยทำไว้แล้วอย่างละเอียดในแผนขยายพื้นที่หลักนั้น จะดีกว่าสำหรับผู้ใช้บริการสนามบินและประชาชนผู้เสียภาษีจริงหรือไม่
นี่ยังไม่พิจารณาว่า การเพิ่มพื้นที่จับจ่ายใช้สอยเพื่อเพิ่มรายได้จากการขายสินค้านั้น ผลประโยชน์ที่แท้จริงจะไปตกอยู่ในมือใคร ทอท. และรัฐบาลไทยจะได้รับผลประโยชน์จากการเอื้อเฟื้อพื้นที่มหาศาลนี้คุ้มค่าจริงหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเราก็เคยได้ยินข่าวเรื่องการร้องเรียนการแบ่งผลประโยชน์พื้นที่การค้าขายที่ไม่เป็นธรรมกันบ้างอยู่แล้ว
ดังนั้น สุดท้ายแล้ว นอกจากข้อเสนอต่างๆ ทางเทคนิคขององค์กรวิชาชีพทั้ง 12 องค์กร แล้ว ก็คงต้องพิจารณากันด้วยว่า ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นตามที่ ทอท. เสนอมานั้น จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และจะมีกลไกอะไรที่ควบคุมและผลักดันให้ประโยชน์ตกสู่มือของผู้ใช้บริการและประชาชนมากที่สุด
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี