เมื่อครั้งที่คุณหมอ หลี่ เหวินเหลียง (Dr.Li Wenliang)ตรวจพบผู้ป่วยอาการตัวร้อน ไอ ว่าเป็นโรคระบาดรุนแรงชนิดใหม่ ก็ได้ทำการประกาศบอกกล่าวแจ้งเตือนไปยังบุคลากรในวงการการแพทย์จีนด้วยกัน แต่กลับถูกตำรวจสั่งให้ปิดปาก ด้วยการตั้งข้อหาว่าสร้างความวุ่นวายให้กับสังคม และถูกสอบสวนว่าเป็นผู้ปล่อยข่าวลือ
จนกระทั่งเมื่อไวรัสได้เริ่มระบาดนั้นแหละ ทางการจีนพรรคคอมมิวนิสต์ และผู้กุมอำนาจสูงสุดถึงจะยอมรับความจริง และเริ่มดำเนินมาตรการแข็งขัน ในการแก้ไขปัญหาไวรัสทางการหายใจ Coronavirus (ที่ได้ชื่อภายหลังว่า Covid-19) ซึ่งผลก็เป็นอย่างที่เห็นว่าค่อนข้างช้าไป เพราะโรคร้ายได้กระจายออกไปจากเมืองอู่ฮั่นเรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้น คุณหมอหลี่ได้ติดเชื้อจากคนไข้ และเพิ่งเสียชีวิตไป ในขณะที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ และมีกำหนดคลอดในเดือนมิถุนายนนี้
ในเหตุการณ์นี้ คุณหมอหลี่ได้ทำหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบอย่างสูง จนถึงแก่ชีวิต ซึ่งสมควรได้รับการยกย่องว่าท่านเป็นแพทย์ที่ประเสริฐ ซื่อตรง ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ และต่อความจริง พูดอย่างเต็มปากได้ว่า คุณหมอหลี่นั้นคือวีรบุรุษ
แต่โชคร้ายที่คุณหมอหลี่ดันเกิด และต้องใช้ชีวิตทำงานทำการในประเทศระบอบเผด็จการ ที่นิยมการทำงานแบบลับ ไม่เปิดเผยข้อมูล ไม่ประสงค์ให้ประชาชนพลเมืองรู้เรื่องราว เข้าถึงความจริง เป็นประเทศที่ผู้นำและพรรคคิดถึงหน้าตา ไม่ต้องการการวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ชอบให้ใครรู้เรื่องร้ายๆ เพราะกลัวกระทบสถานะของผู้บริหาร และพรรค โดยประเด็นเรื่องความปลอดภัย ทุกข์สุขของประชาชนพลเมืองนั้นถือเป็นเรื่องรอง
บรรดาข้าราชการจึงมีทัศนคติการดำเนินงานที่ว่าชื่อเสียงของคณะรัฐบาลของพรรคต้องมาก่อน โดยมิต้องการให้สิ่งใดๆ มากระทบความขลัง ความยิ่งใหญ่
แต่สำหรับโรคร้าย โรคติดต่อ แบบ Covid-19 นั้นไม่มีพรมแดน ทำให้ปิดบังกันยาก โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลข่าวสารสามารถผ่านทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ การที่ประชาชนถูกกระทบกันทั่วไป ก็ยิ่งปิดได้ลำบาก
เมื่อเรื่องไวรัสเป็นข่าวที่สร้างความหวาดกลัวไปทั่วโลก ข่าวการเสียชีวิตของคุณหมอหลี่ที่ตามมา จึงได้นำไปสู่การแสดงออกซึ่งความเสียอกเสียใจของคนจีนอย่างกว้างขวาง มากมาย อย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยได้รับมาก่อน โดยยังผสมไปด้วยความไม่พออกพอใจต่อการตอบสนอง และการปฏิบัติการของฝ่ายผู้ปกครองจีน ทั้งในส่วนกลางและท้องถิ่น เป็นความโกรธและความไม่ไว้วางใจ ไม่เชื่อถือ จนถึงกับกล้าตั้งข้อสงสัยถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และการแสดงออก ขึ้นในสังคมจีน
แต่อย่างไรก็ดี บรรดาความไม่พอใจต่างๆ นานาทั่วประเทศจีน ก็ได้ถูกทางการจีนปิดและเซ็นเซอร์ไป ตามแบบฉบับของรัฐเผด็จการ แม้ทางการจีนจะออกมายอมรับความบกพร่องในปฏิบัติการควบคุมโรคช่วงเริ่มต้น ก็ไม่ได้บรรเทาความโกรธแค้นของสาธารณชนสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อยังดำเนินการลบข้อความโจมตีภาครัฐดังกล่าวในโซเชียลมีเดีย ก็เท่ากับว่าไม่เปิดทางให้ชาวบ้านได้ระบายความอัดอั้นตันใจ โดยไม่ตระหนักว่าเมื่อข่าวคราวออกไปแล้ว ถึงจะลบทิ้งไป ข่าวนั้นก็ยังอยู่ในความทรงจำ อาจกลายเป็นเชื้อประทุขึ้นได้ หากผู้ปกครองจีนควบคุมสถานการณ์โรคระบาดไว้ไม่ได้
ก็เห็นใจคนจีนที่ตกอยู่ภายใต้ระบบเผด็จการ แล้วยังถูกซ้ำเติมด้วยโรคร้าย และยังถูกจำกัดบริเวณกันเป็นร้อยๆ ล้านคน ก็ได้แต่หวังว่า สังคมจีน และทางการจีน จะเยียวยาความผิดของผู้ที่ปกปิดข่าวไวรัสร้ายในตอนต้นโดยประกาศเกียรติคุณยกย่องคุณหมอหลี่ รวมทั้งดำเนินการดูแลภรรยาและบุตรของท่านที่กำลังจะเกิดมา อย่างสมน้ำสมเนื้อ แทนที่จะจารึกว่า คุณหมอหลี่เป็น “ปากแตร” หรือผู้เผยแพร่ข่าวลือสร้างความวุ่นวายต่อสังคมอย่างที่ทำไป
แล้วทำไมทางการจีนถึงตอบสนองต่อปัญหาไวรัส Covid-19 ตอนต้นได้อย่างล่าช้า?
นอกจากการเป็นสังคมปิด สังคมความลับแล้ว ระบบเผด็จการนั้นยังมีโครงสร้างการบริหาร การสื่อสารสั่งการ และการรายงานจากล่างขึ้นบนแบบเข้มงวด (Rigid)มีขั้นตอนลำดับชั้นมากมาย บนลงล่างจะตอบสนองอย่างรวดเร็ว ตรงกันข้ามกับจากล่างขึ้นไปบนนั้นแสนจะล่าช้า
และเมื่อเป็นเช่นนั้น การตัดสินใจใดๆ ก็ต้องรอคำสั่งจากเบื้องบนเป็นหลัก จะลัดคิวก็มิได้ อีกทั้งการรายงานเรื่องราวที่ไม่ดีไม่งามก็อาจสะท้อนกลับมาว่า ผู้รายงาน หรือผู้บริหารนั้นๆ มีความบกพร่อง ก็จะเป็นภัยแก่ตัว การให้เรื่องไม่โด่งดัง หรือรอให้เรื่องคลายตัวไปเอง ก็เลยเป็นวิสัยของวัฒนธรรมการปฏิบัติงาน
ประเด็นนี้ จึงเป็นเรื่องที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะต้องทบทวนโครงสร้าง ขั้นตอน และกระบวนการบริหารราชการ โดยเฉพาะในเรื่องวิกฤติอย่างโรคระบาด ซึ่งสมควรอำนวยให้สังคมสามารถยกเรื่องขึ้นหารือ หรือร้องเรียนได้คล่องตัวขึ้น
ทั้งหมดได้สะท้อนว่า ระบบปิด การแก้ปัญหาสำคัญเร่งด่วนเฉพาะจุดนั้นทำได้ยาก รวมทั้งการจะไปปิดบังปัญหาในโลกยุคปัจจุบันนั้นเป็นเรื่องทำได้ลำบาก เพราะเทคโนโลยีสื่อสารที่ไร้พรมแดน รวมทั้งการเดินทางสัญจรไป-มาสะดวกรวดเร็ว และง่ายขึ้นทั้งคน ทั้งยานพาหนะ รวมทั้งการระบาดของโรคภัยไข้เจ็บก็สามารถลอยไปตามลม ฟ้า อากาศ ได้ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ผมเห็นว่าสังคมเปิดนั้นน่าจะสามารถตอบสนองความเป็นไปต่างๆตั้งแต่จุดเกิดเหตุ จุดเริ่มต้นของปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพดีกว่าอย่างแน่นอน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี