หลายหมู่เหล่าในสังคมต่างๆ ทั่วโลก มักรู้สึกกันว่าบรรดาเรื่องสิทธิมนุษยชนนั้น เป็นเรื่องของพวกตะวันตก ฝรั่งมังค่าที่มายัดเยียดให้คนเอเชียคนแอฟริกา คนตะวันออกกลาง และอื่นๆ ซึ่งก็ถือว่ามีความถูกต้องในระดับหนึ่ง เพราะพวกเขานั้นต่างมีระบบความคิด ความเชื่อถือและประเพณีปฏิบัติที่แตกต่างไป ไม่แปลกที่อยากจะรักษาหวงแหนไว้ มิยอมให้อิทธิพลความคิดอ่านและวิธีการปฏิบัติของชาวต่างชาติเข้ามาครอบงำ หรือบ่อนทำลายได้
แต่สำหรับชาวพุทธแล้ว เรื่องสิทธิมนุษยชนไม่ถือเป็นของแปลกใหม่แต่อย่างใด เพราะชาวพุทธอาศัยอยู่กับสิทธิมนุษยชนมากว่า 2,600 ปีแล้ว เพียงแต่เราอาจจะไม่ได้มองเห็น หรือบ้างก็อาจลืมเลือน ขาดการทบทวนพินิจพิจารณา และเดินหน้าปฏิบัติกันแบบสวนทาง หรือห่างไกลหลักพุทธที่ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนกันไปอย่างไม่รู้ตัว
สิทธิมนุษยชน นัยหนึ่งของพุทธนั้นหมายถึงการเกิดมาแล้วทุกคนมีสิทธิเข้าถึง รับทราบ ทดลอง หรือเพียรพยายามปฏิบัติเพื่อบรรลุซึ่งการตรัสรู้ การหลุดพ้นจากทุกข์ จากการเวียนว่ายตายเกิด หรือความจริงในสากลโลกแห่งความเป็นอนิจจังของชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิตทั้งปวง แล้วก็ยังเป็นสิทธิมนุษยชนอย่างสูงสุด คือมนุษย์แต่ละคนมีโอกาสและมีความสามารถได้ทุกคน มิมีสิ่งใดจะมาขวางกั้นได้ บ่งบอกซึ่งความทัดเทียมกัน และขึ้นอยู่กับแต่ละคนโดยไม่มีผู้ใดจะมาบังคับได้
อีกทั้งหลักคิดหลักปฏิบัติที่สำคัญยิ่งอีกหลักหนึ่ง คือการเสวนา หรือปุจฉากันนั้น จะไม่มีผู้สั่งการ ไม่ได้มีกฎเกณฑ์บังคับ ไม่มีการข่มขู่ และไม่มีผู้ใดเป็นผู้มีอำนาจเหนือคนอื่นใด องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ค้นพบความจริง ก็ทรงแนะแนวทางเท่านั้น
ที่เห็นชัดเจนคือ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้แล้วก็มิได้มาโอ้อวด และมาสั่งการให้ทุกคนคล้อยตาม แล้วยังเปิดโอกาสให้มีการสอบถามความข้องใจ หาความเข้าอกเข้าใจร่วมกัน เป็นสิทธิของการแสดงออกและการมีส่วนร่วมด้วยเหตุด้วยผลด้วยความจริง
ในพุทธศาสนาการดำรงชีวิตก็เป็นเรื่องของการละเว้นการเบียดเบียนต่างๆ หรือนัยหนึ่งเคารพและยอมรับในสิทธิของผู้อื่น ไปจนถึงธรรมชาติแวดล้อม ในขณะเดียวกันก็ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกันหรือร่วมมือกันเพื่อส่วนรวม และเพื่อรักษาธรรมชาติแวดล้อม
ฉะนั้น ในยุคสมัยนี้เมื่อเราเป็นชาวพุทธกันแล้ว เรื่องสิทธิมนุษยชนพื้นฐานว่าด้วย สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกต่างๆ สิทธิเสรีภาพในการปรึกษาหารือและหาข้อยุติร่วมกัน เพื่อประโยชน์ส่วนรวม จึงไม่ใช่เรื่องใหม่เรื่องแปลก หรือเรื่องของพวกฝรั่งมังค่าแต่อย่างใด มันอยู่ในหลักพุทธ อยู่ในตัวเราชาวพุทธ และอยู่ในสังคมไทยเรา เพียงเราต้องมานั่งทบทวน ไตร่ตรอง และปฏิบัติกันเท่านั้น
เมื่อเราเป็นมนุษย์ เราก็ถือว่าเป็นเสรีชนที่มีศักยภาพมากมายที่จะค้นหาตัวเอง และค้นพบความจริงของชีวิตได้ โดยปริยาย และฉะนั้นเผด็จการใดๆ จะต้องไม่มีที่ยืนในแวดวงชาวพุทธ เพราะการอยู่ร่วมกันต้องคิดถึงผู้อื่นเป็นสำคัญนั่นคือเคารพในความเป็นตัวตนของเพื่อนมนุษย์ และร่วมมือกัน
สังคมพุทธจึงต้องเป็นสังคมธรรมาธิปไตยเท่านั้น จะเป็นเอกาธิปไตย (คนเดียวเป็นใหญ่) หรือโลกาธิปไตย (กลุ่มเดียวเป็นใหญ่) ไม่ได้
ก็ถึงเวลาแล้วที่คนไทยเราจะกลับสู่หลักความคิด ความเชื่อถือ และหลักปฏิบัติพื้นฐานของการเป็นชาวพุทธอย่างเร่งด่วน เพื่อร่วมกันแก้ไขสภาวะสังคมที่ตกต่ำ ศีล และธรรมะกระจัดกระจาย
อธรรมแห่งการละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกันขจัด และมนุษย์ควรจะหันมาใช้ธรรมะเป็นตัวกำกับชีวิตใหม่นี้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี