“นอกจากตนเองจะไม่กระทำการทุจริตแล้ว จะต้องไม่อดทนต่อการทุจริตที่เกิดขึ้นในสังคมไทย คนไทยจะต้องก้าวข้ามค่านิยมอุปถัมภ์ และความเพิกเฉยต่อการทุจริตประพฤติมิชอบ รวมทั้งแสดงเจตจำนงทางการเมืองที่ต้องการสร้างชาติที่สะอาดปราศจากการทุจริต ในส่วนของการขับเคลื่อนนโยบาย ต้องมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ขณะเดียวกัน กลไกการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ต้องได้รับความไว้วางใจ และความเชื่อมั่นจากประชาชนว่าสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และประชาชนได้อย่างรวดเร็ว เป็นธรรม และเท่าเทียม”
นี่คือคำยืนยันจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในงานประกาศเจตนารมณ์การต่อต้านการคอร์รัปชั่น ในงานวันต่อต้านคอร์รัปชั่นสากล (ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2562
ตัดภาพกลับมาที่คดี ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด นายวิรัชรัตนเศรษฐ สส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล)
แม้มิใช่ รัฐมนตรี ในคณะของ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา แต่ก็ต้องยอมรับว่า มี “ลูกชาย” ของคนคนนี้เป็นรัฐมนตรี ภายใต้การจัดตั้งของ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ด้วย นั่นก็คือ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ
พูดกันตรงๆ ไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยน ถามกันเลยว่าลำพังชื่อ-ชั้น-ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และชั่วโมงบินในทางการเมือง อธิรัฐ คือ คนที่มีคุณสมบัติถึงพร้อมที่จะเป็นรัฐมนตรีช่วย ในกระทรวงสำคัญกระทรวงหนึ่งของประเทศใช่ไหม?
ผมตอบเลยว่า ไม่ใช่
ทุกวันนี้ก็เป็นรัฐมนตรีที่ไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไร ลองดูจากคำสัมภาษณ์ก็ไม่เห็น “วิสัยทัศน์”
พูดกันให้ชัด ได้เป็นรัฐมนตรีเพราะ...เป็น “ลูกชายวิรัช”ใช่หรือไม่?
เพราะวิรัชมี “ตำหนิ” ก็เลยต้องถอย แต่ “โควตา” ยังเหนียวแน่น ครั้นจะให้เมียมาแทน เหมือนที่นางนาทีรัชกิจประการ เป็นรัฐมนตรีไม่ได้ ก็ให้ผัวมาแทน อะไรทำนองนั้น หรือเหมือน ชาดา ไทยเศรษฐ์ ที่ต้องให้น้องสาว คือ มนัญญาไทยเศรษฐ์ มาเป็นรัฐมนตรีแทน เหมือนข่าวลือตอนแรก ที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จะให้น้องชายเป็นรัฐมนตรี แต่สุดท้าย ก็มีชื่อธรรมนัสเป็นเอง
วิรัชกับเมีย คือ ทัศนียา รัตนเศรษฐ ต่างก็ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเรื่องทุจริต “สนามฟุตซอล” พร้อม “น้องเมีย”อีกคน คือ นางทัศนาพร เกษเมธีการุณ ซึ่งเดิมเป็นนายกเทศมนตรีห้วยแถลง นครราชสีมา แล้วขยับขึ้นมาเป็น สส.พรรคพลังประชารัฐ ตรงนี้กระมัง ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่าน “รู้” และอาจ “ขอเปลี่ยน” (ถ้าไม่จริงให้ท่านปฏิเสธมา)
ท่านจึงเป็น “เจ้าอาวาส” ประเภท “เลี่ยงบาลี” มิใช่พระดีที่ “เคร่ง” จนน่าเลื่อมใส
ท่านก็เป็นน้องๆ ศรีธนญชัย ในหลายเรื่องหลายราวรวมถึงเรื่องนี้ด้วย
ครับ, ผมกำลังจะบอกว่า การกระทำของนายวิรัชนั้น ท่านนายกฯ คงไม่ต้องไปรับผิดชอบแทน แต่การ “ตั้งคณะรัฐมนตรี” นั้น ท่านต้อง “รับผิดชอบ” ครับ
เมื่อท่านสร้างบรรทัดฐานตัวท่านเองเป็น “คนดี ใจซื่อ มือสะอาด” ไม่ทุจริตคอร์รัปชั่น ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะ “ลอยตัว” ออกจากทุกเรื่องราวได้ ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผม ผมไม่ได้ทำ ไม่ได้รู้เรื่องด้วย เหมือนที่ท่านไม่เกี่ยวกับกรณีตำรวจพัทยาหาตัวแรมโบ้อีสาน ซึ่งเดินสายหาเสียงให้พรรคพลังประชารัฐไม่เจอ จับตัวไม่ทันส่งฟ้อง คดีขาดอายุความ แล้วคนคนนี้ก็มาทำงาน มาเดิน อยู่ใกล้ๆ พล.อ.ประยุทธ์ แถมทุกวันนี้ เที่ยวตอบโต้คนนั้นคนนี้แทนนายกฯ ด้วย
เหมือนกรณี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ถูกตั้งคำถามทั้งเรื่องวุฒิการศึกษา ทั้งเรื่องคดีในต่างประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ท่านก็หาได้ถือสาแต่อย่างใดไม่ ผ่านพ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจมาอย่างหนักก็แล้ว พรรคร่วมฝ่ายค้านส่งสัญญาณให้ปรับออกก็แล้ว ท่านก็เมินเฉยเรื่อยมา
นี่หรือ คือคนที่พูดว่า
“นอกจากตนเองจะไม่กระทำการทุจริตแล้ว จะต้องไม่อดทนต่อการทุจริตที่เกิดขึ้นในสังคมไทย คนไทยจะต้องก้าวข้ามค่านิยมอุปถัมภ์ และความเพิกเฉยต่อการทุจริตประพฤติมิชอบ”
ย้อนกลับมาที่กรณี วิรัช รัตนเศรษฐ
17 ธ.ค. 2562 ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จำนวน 5 รายที่อยู่ร่วมประชุม (จากทั้งหมด 7 ราย) ชี้มูลความผิดนายวิรัช รัตนเศรษฐ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กับพวก คดีทุจริตการจัดสรรงบประมาณเพื่อทำการก่อสร้างสนามฟุตซอลโรงเรียนในพื้นที่เขตการศึกษา จ.นครราชสีมา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)เพิ่มเติมอีก 6 สำนวน จากเดิมชี้ไปแล้ว 1 สำนวน
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2562 นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนายวิรัช รัตนเศรษฐ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ นางทัศนียา รัตนเศรษฐ สส.นครราชสีมา พรรคพลังประชารัฐ เมื่อครั้งทั้ง 2 รายเป็นอดีต สส. พรรคเพื่อไทยกับพวกรวม 24 ราย คดีทุจริตการจัดสรรงบประมาณเพื่อทำการก่อสร้างสนามฟุตซอลในพื้นที่การศึกษาเขตที่ 2 จ.นครราชสีมา ว่า กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2555 โดยเป็นงบแปรญัตติ ให้กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างงานปรับปรุงสนามกีฬาพร้อมอุปกรณ์ (สนามฟุตซอล) มีลักษณะมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐและการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานตามรูปแบบรายการและวิธีการก่อสร้าง สนามกีฬาไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง
วิรัชนั้น ทั้งทำหนังสือโต้แย้ง ทั้งประกาศว่าจะดำเนินคดีกับฝ่ายตรวจสอบ แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็ถูกส่งจาก ป.ป.ช.ไปยังชั้นอัยการ พออัยการฝ่ายคดีพิเศษได้รับสำนวนแล้ว ก็แย้งกลับมายัง ป.ป.ช.ว่า สำนวนยังไม่สมบูรณ์ จึงนำมาสู่ขั้นตอนของการตั้งคณะกรรมการร่วมสองฝ่าย คือ ป.ป.ช. กับอัยการ เพื่อพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ในสำนวนคดี กระทั่งมาถึงจุดที่เห็นพ้องต้องกันแล้วว่า สำนวนมีความรัดกุมเพียงพอแล้ว จึงส่งต่อไปยัง “อัยการสูงสุด” เพื่อใช้ดุลยพินิจในขั้นตอนสุดท้าย ว่าจะยื่นฟ้องศาลหรือไม่
หากอัยการสูงสุด คือ “นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์” มีความเห็นสั่งฟ้อง กระบวนการก็ขึ้นสู่ชั้นศาล
แรกทีเดียว ในสมัยเป็นหัวหน้า คสช. พล.อ.ประยุทธ์ เคยมีความเข้มงวด ต่อบุคลากรในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ว่าใครเกี่ยวข้องหรือแม้มีเพียงการกล่าวหาว่าทุจริต ก็จะถูก “โยกออกจากตำแหน่ง” ไว้ก่อนเพื่อให้กระบวนการตรวจสอบทำงานได้คล่องตัว
คำถามในวันนี้ก็คือว่า พล.อ.ประยุทธ์ วางบรรทัดฐานนั้นลงตั้งแต่เมื่อไหร่ จึงมิได้ทำสิ่งใดกับ “ประธานวิปรัฐบาล” ที่ชื่อ “วิรัช” เลย
คนรักลุงตู่ก็ย่อมให้ความเป็นธรรมบนพื้นฐานความรักว่า ลุงตู่เป็นแค่ “นายกรัฐมนตรี” จะเอาคุณวิรัชออกจากการเป็น สส.ก็คงไม่ได้ อันนี้ถูก ถัดมา-เอาคุณวิรัชออกจากตำแหน่งในพรรคได้ไหม ตอบว่าไม่ได้อีก เพราะลุงตู่
“ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพรรคพลังประชารัฐ” ถัดมาอีกนิด-เอาวิรัชออกจากวิปฝ่ายรัฐบาลได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะเป็นตำแหน่งที่ สส.เขาเลือกกันมา
แต่สำหรับผม ลุงตู่สามารถ “กระซิบข้างหู” ได้สบายๆ ว่าถ้าเราจะเป็นตัวอย่าง สร้างบรรทัดฐาน เราควรจะทำยังไง ดูรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นตัวอย่าง แค่รัฐมนตรีถูกกล่าวหา หรือชี้มูลว่าทุจริต แกกระซิบให้รัฐมนตรีลาออกเลย อันที่จริง รัฐมนตรีต่างหาก เป็นคนขอลาออก และพรรคก็ตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนั้นๆ คู่ขนานไปกับการตรวจสอบขององค์กรตรวจสอบต่างๆ ด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ ครับ ช่วยอธิบายถึงคุณสมบัติของ“อธิรัฐ รัตนเศรษฐ” หน่อยสิครับ ว่าคุณสมบัติใดทำให้เขาได้เป็น “รัฐมนตรีช่วย” หากไม่ใช่เพราะเขาเป็น “ลูกชาย” ที่พ่อมีการชี้มูลของ ป.ป.ช.ติดตัว แม่ก็เช่นกัน น้าสาวก็ด้วย แต่บารมีพ่อมัน “ถึงเก้าอี้” ใช่หรือไม่ จึงต้องหาคน “นั่งแทน”
อย่าลืมตอบคำถามคุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ที่รำพึงถึง “คนหาย”คนหนึ่งในเฟซบุ๊คด้วยนะครับ เขาชื่อ “พ.ต.อ.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์” ที่เมื่อมี “หมายจับ” พ้นเก้าอี้ สส. ก็ต้องเลือกตั้งซ่อม คนที่พรรคพลังประชารัฐซึ่งหนุนบิ๊กตู่เป็นนายกฯ เลือกให้ลงแทนคือลูกชายของไวพจน์ ดูเหมือนคุณนิพิฏฐ์จะเป็นห่วงแทนใครหลายๆ คน ว่าพ่อหายไปทั้งคน ไม่มีกระบวนการใดๆ “ตามหา พ.ต.ท.ไวพจน์” เลย
ย้อนกลับมาสู่กรณีวิรัชอีกสักหน นั่นแค่“งบประมาณประจำปี” ที่มีการ “แปรญัตติ” กันนะครับ แต่เวลานี้ นอกเหนือจากงบประมาณประจำปีแล้ว ยังมี“งบประมาณที่ได้จากเงินกู้” ที่เตรียมกระจายลงสู่พื้นที่-จังหวัดต่างๆ อีก นายกฯ มีกระบวนการใดมิให้ สส.เข้าไปเกี่ยวข้อง และมีกระบวนการใดที่จะป้องกันอย่างจริงๆ จังๆ ไหมครับ เรื่องการทุจริต เพราะนายกฯ ได้เคยกล่าวไว้อย่างจับใจว่า
“นอกจากตนเองจะไม่กระทำการทุจริตแล้ว จะต้องไม่อดทนต่อการทุจริตที่เกิดขึ้นในสังคมไทย คนไทยจะต้องก้าวข้ามค่านิยมอุปถัมภ์ และความเพิกเฉยต่อการทุจริตประพฤติมิชอบ รวมทั้งแสดงเจตจำนงทางการเมืองที่ต้องการสร้างชาติที่สะอาดปราศจากการทุจริต ในส่วนของการขับเคลื่อนนโยบาย ต้องมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ขณะเดียวกัน กลไกการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ต้องได้รับความไว้วางใจ และความเชื่อมั่นจากประชาชนว่าสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และประชาชนได้อย่างรวดเร็ว เป็นธรรม และเท่าเทียม”
ท่านคงเข้าใจในสิ่งที่พูด ยิ่งกว่าคนอื่นใดในโลกใบนี้อย่างแน่นอน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี