ชั่วเวลาเพียงไม่นาน วันสำคัญของชาติ 24 มิถุนายนก็ผ่านไปอย่างเงียบเหงา ผู้เขียนเองก็ยังไม่ลืมวันสำคัญนี้ ซึ่งจำได้ว่าในสมัยยังเด็ก ในยุคของท่านนายกฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ยังมีการจัดงานเฉลิมฉลองวันนี้ให้เป็นวันสำคัญของชาติ
ปัจจุบัน การจัดงานเฉลิมฉลอง (โดยรัฐบาล) ไม่ได้มีอีกแล้ว นับเป็นเวลานานปี เพราะความทรงจำของวันที่24 มิถุนายน 2475 และเหตุการณ์ต่อๆ มา ใน พ.ศ. 2476 ตลอดจนการสละราชบัลลังก์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ได้นำมาซึ่งความโศกเศร้าในส่วนหนึ่งของอาณาประชาราษฎร์
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการบังเกิดขึ้นของระบอบ “ประชาธิปไตย” ในสังคมไทย จะไม่ราบรื่นในช่วงแรก แต่ถ้าหากระบอบประชาธิปไตยได้เจริญเติบโตดุจต้นไม้ที่ออกดอกออกผลอย่างงดงามในสมัยต่อๆ มา จนปัจจุบัน บ้านเมืองของเราก็คงจะเจริญรุ่งเรืองไปไกลลิบ รุดหน้าหลายๆ ชาติในเอเชียอาคเนย์อย่างแน่แท้ แต่น่าเสียดาย เหตุการณ์มิได้เป็นเช่นนั้น ทั้งๆ ที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ได้ทรงวางพื้นฐานการปฏิรูปการปกครองการคมนาคมสื่อสาร การเลิกทาส เพื่อปูทางไปสู่การสร้างความเป็นพลเมืองไทย ตลอดจนการศึกษา (แผนใหม่) ฯลฯ ไว้แล้ว แต่ระบบการเมืองการปกครองที่เป็นระบบรัฐสภาแต่เพียงในนาม ตลอด 88 ปีที่ผ่านมา กลับจะประสบกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ตลอดจนระบบอุปถัมภ์ในวงราชการและการเมือง รวมถึงการขาดเสถียรภาพของรัฐบาล และการขาดวินัยของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ระบอบรัฐสภา ที่ขาดเสถียรภาพเช่นนั้น ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในเรื่องที่สำคัญต่างๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ การศึกษา และสังคมมนุษย์ เราจึงกำลังจะล้าหลังหลายๆ ประเทศในอุษาคเนย์ รวมทั้งเวียดนาม ซึ่งปลดแอกจากประเทศมหาอำนาจมาไม่นานมานี้ ก็ยังรุดหน้าประเทศไทยในหลายๆ เรื่อง รวมทั้งการศึกษา
ประเด็นที่สำคัญ (ที่สุด) นอกจากเรื่องเศรษฐกิจ (ปากท้อง) รัฐบาลควรจะให้ความสำคัญกับการสร้าง จิตวิญญาณ ของความเสียสละ วินัยในตนเอง ความขยันหมั่นเพียร และวัฒนธรรมการเมือง ซึ่งหมายถึง ความรู้ ความเข้าใจ ในระบบและกฎกติกาของระบอบประชาธิปไตย การรู้จักการทำงานร่วมกัน(วินัยในการทำงาน) และความเสียสละ มารยาททางการเมือง และความมีวินัย การประพฤติปฏิบัติที่ห่างไกลจากการทุจริตรวมทั้งมีจิตใจที่เปิดกว้าง
วัฒนธรรมทางการเมืองดังกล่าว ดูได้จากพฤติกรรมของนักการเมืองทั้งในรัฐสภา และในช่วงการเลือกตั้ง ที่ควรจะปลอดจากระบบการซื้อเสียง และดูได้จากสื่อมวลชนที่ช่วยรณรงค์ต่อต้านพฤติกรรมเหล่านี้ ของนักการเมืองหรือไม่ และตัวสื่อเองปลอดจากอิทธิพลของสิ่งเหล่านี้หรือไม่?
ฉะนั้น ในจังหวะนี้ ท่านนายกรัฐมนตรี ซึ่งยังไม่ต้องการจะปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล และยังไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ที่พาดพิงถึงรัฐมนตรีในทีมเศรษฐกิจของฝ่ายพรรคพลังประชารัฐ อีกทั้งข่าวที่ปรากฏอยู่ในสื่อว่า ผู้ที่ได้รับการทาบทามจากภายนอก (ครม.) บางท่านที่มีฝีมือและชื่อเสียงก็ยังไม่ปรารถนาจะมาร่วมทีมเศรษฐกิจ (อาจเพราะปัญหาทับซ้อนมากมาย ทั้งการจะบริหารโครงการเงินกู้สามล้านล้านบาท และปัญหาการว่างงานที่จะถาโถมเข้ามา ประดุจคลื่นยักษ์สึนามิ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า) จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะหันมาพิจารณามิติใหม่ทางการศึกษา ทั้งระบบ online และสาระสำคัญของการสร้างพลเมืองให้ทันสมัย ทั้งในเรื่องความคิดอ่านทางการเมือง และทางเศรษฐกิจ เพื่อจะได้คลื่นลูกใหม่มาสมทบกับคลื่นลูกเก่าที่ยังคงติดอยู่กับการเมืองเก่าๆ และ “เล่นการเมืองแบบเก่าๆ” ประกอบด้วย ระบบอุปถัมภ์ และการแบ่ง “เค้ก”ผลประโยชน์จากโครงการในการจัดสรรงบประมาณ
ชื่อที่เหมาะสมในแวดวงการศึกษา จึงเรียกว่า การศึกษาเพื่อสร้าง “วัฒนธรรมทางการเมือง” เพื่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนา “ความฉลาด ทางการเมือง” ให้แก่เยาวชน (โดยเฉพาะระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย-และอาชีวศึกษา) และในระดับช่วงต้นของระดับอุดมศึกษา นี่คือกุศโลบายที่จะช่วยให้การเมืองและการเศรษฐกิจ-สังคม ไทย ก้าวข้ามยุคศักดินา สู่ยุค หลังโควิด ปัจจัยตัวแปรที่สำคัญในอนาคต ก็น่าจะเป็น “มติมหาชน” ที่กระจายเผยแพร่ผ่านสื่อสารมวลชน และระบบอินเตอร์เนต-เฟซบุ๊ค ซึ่งจะช่วยกำกับหรือมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้คน ที่มีบทบาทอยู่ในแวดวงการเมืองในระบบรัฐสภา จะช่วยเป็นปัจจัยตัวแปรสนับสนุนให้ผู้นำ (ของรัฐบาล) มีที่ยืน หรือ เกาะเกี่ยว เพื่อยืนหยัดในนโยบายที่จะยังประโยชน์ให้แก่มวลชนทั้งปวง มิใช่เป็นการนำทรัพยากรของชาติไปแจกเป็นรายบุคคล เพื่อสร้างคะแนนนิยมให้แก่ตนเอง
พูดถึงบทบาทของสื่อมวลชนต่อการเมือง น่าสังเกตว่าสื่อมวลชนในสังคมตะวันตก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา เป็นสื่อที่มักจะเอนเอียงไปทางอุดมการณ์ของตนเอง ซึ่งบังเอิญไปสอดรับกับนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ทั้งขั้ว “ขวา” ขั้ว “ซ้าย” ฉะนั้น ผู้เขียนเอง ในขณะศึกษาเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก็ได้อ่านพบสื่อบางฉบับ เช่น “นิวยอร์กไทมส์” มักเลือกข้างฝ่ายพรรค “รีพับลิกัน” ซึ่งในช่วงนั้น ต่อต้านระบบทาส และก็จะมีหนังสือพิมพ์ ฝ่ายที่สนับสนุนพรรคเดโมแครต (ฝ่ายใต้ที่ยังคงเห็นใจชาวภาคใต้ที่ต้องมีระบบทาส)
ปัจจุบัน ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดร.ธิติ สุวรรณทัต (ในคอลัมน์ปรีชา’ทัศน์) ก็ได้กล่าวถึงการรณรงค์หาเสียงของนางลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ ซึ่งเป็นตัวเก็งในการนั่งตำแหน่ง “รองประธานาธิบดี” สหรัฐฯ คนใหม่ และ คอลัมนิสต์ ชื่อ แฟรงค์ บรูโน ก็ได้เขียนลงในหนังสือพิมพ์ดังกล่าว สรรเสริญดักเวิร์ธ ว่า คือผู้ที่มีคุณสมบัติโดดเด่น ประกอบด้วยคำสามคำ คือ “การเสียสละ เกียรติยศ และ ความนอบน้อมถ่อมตน” และคุณสมบัติเหล่านี้ คือคุณสมบัติที่ประธานาธิบดี “ทรัมป์” ไม่มีทั้งสิ้น และชาวอเมริกันสมควรจะเลือกทีมไหน ทีมของนายโจ ไบเดนที่น่าจะมีนางสาวลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ ใช่หรือไม่?
ที่กล่าวมานี้ ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลของสื่อมวลชนต่อการเมืองของประเทศมหาอำนาจตะวันตก ไม่ได้มี “กฎหมาย”เป็นเครื่องมือในการจัดระบบพรรค แต่สื่อมวลชนที่ชี้นำ และสื่อมักประกอบด้วยฝ่ายขวา ฝ่ายซ้าย หรือ “กลางขวา, กลางซ้าย”สุดแล้วแต่สถานการณ์ทางการเมือง สังคมไทยจึงควรให้ความสำคัญกับวิวัฒนาการของสื่อและสื่อเองก็ควรเข้าใจบทบาทสำคัญของตนเอง โดยเฉพาะอุดมการณ์ และความศรัทธา เชื่อมั่น ในพลังของ “ความคิด” ที่จะส่งผ่านสื่อสารมวลชน ซึ่งเป็นปัจจัยตัวแปรที่สำคัญที่สุดในการผันแปร “วิกฤติ” การเมือง หรือจุดอับทางการเมืองทั้งหลายไปสู่ผลที่พึงประสงค์
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี