การชุมนุมของ “เยาวชนปลดแอก” เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผม เราต่างผ่านการใช้สิทธินี้มาแล้ว ให้เด็กๆ เขาใช้สิทธินี้บ้าง ขอให้เราเฝ้าดูอย่างผ่อนคลาย
เพียงแต่เรื่องหนึ่งที่ยากจะทำใจผ่อนคลายคือเรื่อง ท่าทีต่อพระมหากษัตริย์ ผ่านข้อความในป้าย และถ้อยคำปราศรัยจากปากบางคนบนเวที ทั้งๆที่เวลาถามว่าเรียกร้องอะไร ก็บอกแค่ 3 ข้อ คือ แก้รัฐธรรมนูญ ยุบสภา หยุดคุกคาม แต่ทำไมเรื่องม. 112 เรื่องการจาบจ้วง จึงเข้าไปปนเปื้อนอยู่ในการชุมนุมด้วย
ในเรื่องนี้ นายนันทวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊คส่วนตัว “Nantiwat Samart” ระบุว่า จงภูมิใจในความเป็นไทย
การชุมนุมประท้วง การต่อสู้ทางการเมือง ข้อเรียกร้องที่มีต่อรัฐบาล เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมือง ทำไปเถอะ ไม่มีใครว่า ไม่มีใครคัดค้าน
แต่จำใส่สมองน้อยๆไว้ การชุมนุมทางการเมืองมีอยู่สองเรื่อง ห้ามทำเด็ดขาด
พระมหากษัตริย์ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ห้ามต่อต้าน ห้ามจาบจ้วงโดยเด็ดขาด
ประการที่สอง ไทยเป็นรัฐอันหนึ่งอันเดียวกัน แบ่งแยกไม่ได้ ไทยเป็นรัฐเดี่ยว ไม่ใช่สหพันธรัฐ
พระมหากษัตริย์นับตั้งแต่สิ้นกรุงศรีฯ ได้กอบกู้สร้างชาติ ด้วยความกล้าหาญและพระปรีชาญาณ 200 กว่าปี ไทยรอดพ้นปากเหยี่ยว ไม่เป็นขี้ข้าฝรั่งหัวแดง เป็นประเทศเอกราช ไม่ใช่อาณานิคมเมืองขึ้นของฝรั่ง
เชื่อเถอะว่า พระสยามเทวาธิราชเจ้า จะทรงคุ้มครองไทยให้ปลอดพ้นจากผู้คิดร้ายต่อประเทศ
อยากเตือนว่า การแสดงออก การใช้เสรีภาพต้องมีขอบเขต อย่าเกินเลย อย่าข้ามเส้น ละเมิดความมั่นคง อย่าคาดหวังว่า เมื่อเกิดความรุนแรง วุ่นวายทางการเมืองแล้ว ต่างชาติจะเข้ามาแทรกแซง อย่าไว้ใจฝรั่งต่างชาติ ไม่เคยจริงใจกับคนหัวดำหรอก
ขณะที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่าตามที่กลุ่มเยาวชนปลดแอก - Free YOUTH ได้ปลุกระดมให้คนออกมาชุมนุมกันในเย็นวันเสาร์ที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และกลุ่มนักศึกษา-ประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดอุบลราชธานี รวมตัวชุมนุมกันเพื่อแสดงความไม่พอใจการบริหารประเทศของรัฐบาล โดยมีจุดยืนเดียวกันกับกลุ่มเยาวชนปลดแอกที่ชุมนุมกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กรุงเทพฯ เมื่อเย็นวันที่ 19 ก.ค.2563 ที่ข่วงประตูท่าแพ เชียงใหม่ และหน้าศาลหลักเมืองอุบลฯ ตามลำดับนั้น
การชุมนุมดังกล่าว เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ที่ยังไม่ยุติ และยังมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2548 ที่ยังห้ามการรวมกลุ่ม หรือการชุมนุมต่างๆ ดังนั้นผู้ฝ่าฝืนย่อมมีความผิดตามม.9(2) แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2548 มีอัตราโทษตาม ม.18 จำคุกไม่เกิน 2 ปีปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ การฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา ม.215 ฐานมั่วสุมกันเกินกว่าสิบคนหรือก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ถ้าเป็นแกนนำม็อบหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิด โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีปรับไม่เกิน 1 แสนบาท และยังมีความผิดตาม ป.อาญา ม.209 ฐานเป็นอั้งยี่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท นอกจากนั้นยังเป็นการฝ่าฝืน ม.34(6) แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 ซึ่งมีโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาทอีกด้วย
แต่ปรากฏว่า ในขณะที่มีการชุมนุมในสถานที่ต่างๆ ข้างต้นนั้น ปรากฏว่า มีผู้ที่แอบแฝงนำป้ายข้อความที่มีลักษณะจาบจ้วงเบื้องสูงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาถือโชว์เพื่อให้นักข่าวและสื่อมวลชนถ่ายภาพนำไปรายงานเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมากด้วย ซึ่งการกระทำดังกล่าวเชื่อว่าน่าจะกระทำกันอย่างเป็นกระบวนการ เพราะข้อความต่างๆเหล่านั้นเหมือนหรือคล้ายกันทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปีอันถือว่าเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ ทั้งนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับเรื่อยมามีข้อที่กล่าวว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้...”
ดังนั้น เมื่อมีผู้ชุมนุมบางคนที่มีเจตนาแฝงเข้ามาชุมนุมแล้วนำป้ายข้อความที่มีลักษณะจาบจ้วงเบื้องสูงทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาถือโชว์เพื่อให้นักข่าวและสื่อมวลชนถ่ายภาพนำไปรายงานเผยแพร่นั้น เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะต้องเร่งสืบสวนจับกุมผู้ที่จัดทำและหรือถือป้ายดังกล่าวมาดำเนินการสอบสวนและทำความเห็นทางคดี เพื่อส่งอัยการฟ้องต่อศาลเพื่อพิจารณาลงโทษมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป
ผมขอยืนยันว่า ผมเห็นชอบด้วย ที่คนไทยทุกกลุ่มจะใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ชุมนุมอย่างสงบปราศจากอาวุธ เพื่อสะท้อนความต้องการของตนในฐานะที่เป็นพลเมืองของประเทศ อย่าไปโกรธเกลียดกัน ให้เขาได้ใช้สิทธิของเขา
แต่บางเรื่อง เขาควร “ปลดแอก” ตัวเองก่อน จากการครอบงำของคนบางกลุ่ม จากการชี้นำด้วยประเด็นละเอียดอ่อนที่ไม่ควรนำไปใช้ เพื่อทำลายประเด็นที่หนักแน่นอื่นๆ เช่นเรื่อง แก้รัฐธรรมนูญ เป็นประเด็นร่วมของคนกลายกลุ่ม ไม่ใช่แค่คนที่มาชุมนุม เพียงแต่คนที่มาชุมนุมก็ต้องชัดเจนว่าจะแก้มาตราไหน เพราะเหตุใด แล้วจะแก้ให้เป็นอย่างไรชี้ให้คนวงนอกเข้าใจ เห็นด้วย แล้วสะสมเป็น “พลังร่วม”
ดังคำแนะนำของ ไอติม-พริษฐ์ วัชรสินธุ เรื่อง “หนักแน่นในจุดยืน แต่อ่อนน้อมด้วยท่าที” ที่บอกว่า
“...ท้ายสุดแล้ว ไม่ว่าเนื้อหาของข้อเสนอจะเป็นอย่างไร วิธีการสื่อสารและนำเสนอก็มีความสำคัญเช่นกัน
การใช้ภาษาที่รุนแรงหรือโจมตีตัวบุคคลอาจเป็นวิธีที่ได้ผลในการปลดปล่อยความไม่พึงพอใจ หรือการสร้างอารมณ์ร่วมในกลุ่มคนที่คิดเห็นตรงกัน และการที่คนเลือกจะใช้ภาษาที่รุนแรงก็ไม่ได้ลดสิทธิ์ของเขาในการแสดงความเห็นหรือลดคุณค่าของความเห็นเขา
...แต่ถ้าเราต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆ เราจำเป็นต้องสื่อสารและโน้มน้าวคนที่เห็นต่างจากเรา
...การใช้ภาษาที่สุภาพและนำเสนอความเห็นด้วยการให้เหตุผลนำอารมณ์ จึงอาจจะได้ผลกว่าในการเชิญชวนให้คนที่ลังเลหรือเห็นต่างกับเรา หันมาเริ่มเปิดใจรับฟังและเปลี่ยนมาเห็นด้วยกับสิ่งที่เรานำเสนอ
...เหมือนกับที่เด็กคนหนึ่งคงไม่อยากจะรับฟังคำแนะนำจากผู้ใหญ่คนหนึ่ง (ไม่ว่าคำแนะนำจะดีแค่ไหน) ถ้าผู้ใหญ่เริ่มต้นด้วยการเรียกเขาว่า “เด็กเมื่อวานซืน” ผู้ใหญ่คนหนึ่งก็คงไม่อยากจะรับฟังความเห็นของเด็กคนหนึ่ง (ไม่ว่าความเห็นจะถูกต้องตามหลักการแค่ไหน) ถ้าเด็กเริ่มต้นด้วยการเรียกเขาว่า “ไดโนเสาร์”
...ทั้งหมดนี้ ไม่ได้เพื่อจะบอกว่าเรามีอารมณ์โมโหหรือไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไม่ได้ แต่ผมไม่อยากเห็นคนอื่นมองข้ามความคิดที่ดีของเรา เพียงเพราะเขาตัดสินเราจากคำพูดหรือวิธีการที่เราใช้
...การ “หนักแน่นในจุดยืน แต่อ่อนน้อมด้วยท่าที” อาจจะเป็นวิธีสำคัญในการได้ผู้สนับสนุนมาร่วมกับเรามากขึ้น
ถ้าข้อเสนอด้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถผ่าน 3 เกณฑ์นี้แล้ว ผมเพียงแต่หวังว่าคนที่ยังลังเลหรือไม่แน่ใจ จะหันมาร่วมกันสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ได้มาซึ่งกติกาที่เป็นกลาง
ประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง และโครงสร้างรัฐที่มีประสิทธิภาพในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ-สังคม”
มาครับ มาเริ่มต้นจากการ “ปลดแอก” บนความเชื่อที่ว่า จะเป็นไอดอลได้ ต้องก้าวร้าว ดุดัน จนถึงขั้นหยาบคาย จะเจ๋งได้ ต้องเขย่าไปให้ถึงจุดสูงสุด
ทบทวนตัวเอง ทบทวนประเด็น ทบทวนวิธีการ แล้วเดินหน้าต่อ เชื่อว่าแรงเสียดทานแรงต้านจะลดลง และแรงหนุนจะมีมากขึ้น ขอให้โชคดีครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี