ในขณะที่วงการตุลาการของไทยกำลังจะมีประธานศาลฎีกาสุภาพสตรีคนแรก ในอีกไม่นานนี้ รูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก(Ruth Bader Ginsburg หรือ RBG) ผู้พิพากษาศาลสูงสุดสตรีคนที่สองในประวัติศาสตร์วงการตุลาการอเมริกันก็กำลังต้องต่อสู้อย่างหนักเพื่อทำหน้าที่หนึ่งในเก้าขององค์คณะผู้พิพากษาศาลสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกา (The Supreme Court of the United States) ต่อไป
อย่างไรก็ตาม คู่ต่อสู้ของ RBG นั้นกลับไม่ใช่เรื่องการเมืองในศาลสูงสุดตัวบุคคลเช่นนักการเมืองอย่างทรัมป์หรือระบบกระบวนการยุติธรรมแบบของไทย.....แต่กลับเป็นเรื่องสุขภาพของตัวเธอเอง....เพราะเมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี้ RBG ได้ออกแถลงการณ์ว่า...เธอกลับมาป่วยเป็นมะเร็งอีกครั้ง และกำลังอยู่ระหว่างการรักษาด้วยคีโมบำบัด ซึ่งผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ และก็ยังพร้อมที่จะทำหน้าที่ต่อไป....
RBG ปัจจุบันอายุ 87 ปี มีสมญานามว่า อาร์.บี.จี. ผู้เลื่องลือ (the notorious RBG) เป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุด
ที่มีอายุมากที่สุดในองค์คณะเก้าคนนี้ ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีบิล คลินตัน ให้ดำรงตำแหน่งนี้ตั้งแต่ปี 2536 โดยก่อนหน้านั้น Sandra D. O’Connor ถือเป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดหญิงคนแรกของสหรัฐ โดยได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ในปี 2524
RBG เริ่มป่วยเป็นมะเร็งมาตั้งแต่ปี 2542 เมื่ออายุ66 ปี โดยเริ่มจากที่ลำไส้ และสิบปีต่อมา เธอก็ต้องรักษามะเร็งตับอ่อนอีกครั้ง และล่าสุดเมื่อสองปีที่แล้ว RBG ก็ต้องเข้าทำการรักษามะเร็งที่ปอดอีกเป็นครั้งที่สามซึ่งเธอก็ต่อสู้เอาชนะมะเร็งทั้งสามที่มาได้ทุกครั้ง
RBG เป็นผู้พิพากษาที่มีจุดยืนแบบเสรีนิยม ตลอดชีวิตการทำงานของเธอไม่ว่าจะเป็นในฐานะนักกฎหมายทนายความ ศาสตราจารย์และผู้พิพากษา RBG ต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมกันให้กับสตรี ผู้ยากไร้ คนผิวสีมาตลอดโดยเฉพาะเรื่องความเสมอภาคทางเพศ เพราะเธอเคยผ่านประสบการณ์การเหยียดเพศมาด้วยตัวเอง.....
เริ่มตั้งแต่ปี 2499 เมื่อ RBG เป็นนักศึกษาชั้นปีหนึ่งที่โรงเรียนกฎหมายของฮาร์วาร์ด (HLS) ปีนั้นพึ่งเป็นปีที่หกที่ HLS เปิดรับนักเรียนกฎหมายหญิง และเธอก็เป็นเพียง 1 ใน 9 ของนักศึกษาหญิง ขณะที่มีจำนวนนักศึกษาชายประมาณ 500 กว่าคน
ในปีนั้น และที่ HLS นี้เอง…RBG ได้สัมผัสกับความลำเอียงทางเพศเป็นครั้งแรก เมื่อศาสตราจารย์ Erwin Griswold คณบดี HLS พูดจากระแนะกระแหนว่า....การมีนักเรียนกฎหมายหญิง 9 คน ในปีนี้ถือว่ามากเกินไป....พร้อมถามต่อไปถึงเหตุผลที่แต่ละคนเข้ามาแย่งพื้นที่ของนักศึกษาชายหรือ “สุภาพบุรุษฮาร์วาร์ด”ใน HLS อันทรงเกียรติแห่งนี้ ในระหว่างงานเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาใหม่
ต่อมาเมื่อ RBG มีความจำเป็นต้องย้ายตามสามีไปอยู่ที่นิวยอร์ก เธอได้ทำเรื่องขอโอนหน่วยกิตจาก HLS ไปที่โรงเรียนกฎหมายมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย แต่ก็โดนปฏิเสธโดย Erwin Griswold คณบดีคนเดิม ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น HLS เคยอนุญาตการโอนหน่วยกิตกรณีเดียวกันนี้ให้กับนักศึกษาชายมาแล้วหลายคน เมื่อเป็นเช่นนี้ RBG จึงต้องไปเริ่มต้นเรียนกฎหมายใหม่ ในชั้นปีหนึ่งที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
และแม้จะจบได้โดยเป็นที่หนึ่งของรุ่น เธอก็ประสบความยากลำบากในการหางานทำ สำนักงานกฎหมายหลายแห่งในนิวยอร์กปฏิเสธรับเธอเข้าทำงานเพราะฐานะการเป็นบัณฑิตหญิงด้านกฎหมาย จนกระทั่ง Gerald Gunther ศาสตราจารย์กฎหมายรัฐธรรมนูญ ผู้เคยสอนเธอที่โคลัมเบีย ได้เข้ามาช่วยฝากให้ทำงานเป็นเสมียนผู้พิพากษาที่ศาลท้องถิ่นในนิวยอร์กในช่วงปี 2504-2505 ต่อมาในปี 2506 RBG ได้งานสอนหนังสือที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรัทเจอร์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ แต่ก็ต้องรับเงินเดือนที่ต่ำกว่าอาจารย์ชายที่มีตำแหน่งทางวิชาการเท่ากันซึ่งตำแหน่งนี้ความจริงแล้วเป็นโควตาของอาจารย์ผิวดำ แต่มหาวิทยาลัยรัทเจอร์ก็พิจารณาอนุโลมให้ผู้หญิงอยู่ในโควตานี้ได้
นี่คือการปฏิบัติอย่างลำเอียงทางเพศในสังคมอเมริกันเมื่อช่วงปีกึ่งพุทธกาล (2500) ที่ RBG ต้องเผชิญ
ช่วงเวลานั้นมีสุภาพสตรีทำงานอาชีพนักกฎหมายเพียงแค่ 3% ในสายงานนี้ มีผู้พิพากษาหญิงเพียงคนเดียวในศาลชั้นอุทธรณ์....ขณะที่ปัจจุบัน อัตราส่วนระหว่างนักศึกษากฎหมายหญิงต่อชายกลายเป็น 50 : 50 และกว่า 30% ของโรงเรียนกฎหมายทั่วประเทศมีคณบดีเป็นสุภาพสตรีมีผู้พิพากษาหญิงในระดับรัฐบาลกลางเกินกว่าหนึ่งในสาม และมีสุภาพสตรีอยู่ 3 ใน 9 ขององค์คณะผู้พิพากษาศาลสูงสุดซึ่งทั้งสามคนนี้ล้วนถูกแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีที่มาจากพรรคเดโมแครต
แถลงการณ์ของ RBG ได้สร้างความกังวลให้กับชาวเดโมแครตและอเมริกันชนผู้มีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบเสรีนิยมเป็นอย่างมากเพราะปัจจุบันองค์คณะผู้พิพากษาศาลสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนผู้พิพากษาที่มีจุดยืนแบบอนุรักษ์นิยม 5 คน และเสรีนิยม 4 คน ดังนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นกับ RBG ก็หมายความว่าเสียงของฝ่ายเสรีนิยมจะหายไปหนึ่งเสียง และทรัมป์ก็จะถือโอกาสนี้แต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดหัวอนุรักษ์นิยมสุดโต่งเข้าไปทำหน้าที่แทน RBG อย่างทันทีทันใด เพื่อให้สัดส่วนในองค์คณะกลายเป็น 6 ต่อ 3
โดยก่อนหน้านั้นทรัมป์มีโอกาสได้แต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดสายอนุรักษ์นิยมไปแล้วสองคนในปี 2560 และ 2561 คือ นาย Neil Gorsuch และ นาย Brett Kavanaugh ตามลำดับและทรัมป์กับนักการเมืองซีกรีพับลิกันต่างเฝ้าชะเง้อรอคอยการลาออกของ RBG อย่างใจจดใจจ่อมานานแล้วเพราะรู้ถึงปัญหาสุขภาพของเธอดี
ความจริงแล้วฝ่ายเสรีนิยมได้เคยพูดเกริ่นให้ RBG ลาออกจากตำแหน่ง ตั้งแต่เมื่อเธอเริ่มป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนในปี 2552 เพื่อเปิดโอกาสให้ประธานาธิบดีโอบามา (2552-2559) ได้แต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดหัวเสรีนิยมคนใหม่เข้าไปทำหน้าที่แทน แต่ RBG ปฏิเสธเพราะเชื่อว่าตัวเองจะต่อสู้กับโรคร้ายนี้ได้ นอกจากนั้นเธอยังคิดว่านางฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครตจะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไปจากโอบามา
ดังนั้น ตอนนี้พรรคเดโมแครตจึงทำการรณรงค์กันอย่างหนักเพื่อให้ชาวอเมริกันชนผู้มีจุดยืนแบบเสรีนิยมออกมาเลือก โจ ไบเดน ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ปลายปีนี้เพื่อที่จะได้ประธานาธิบดีจากเดโมแครตไปแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดเพื่อทำหน้าที่แทน รูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก เพื่อรักษาสัดส่วน 5 ต่อ 4ในองค์คณะผู้พิพากษาศาลสูงสุด สหรัฐอเมริกา ต่อไป
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
หมายเหตุ: เรื่องราวและข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Ruth Bader Ginsburg ดูได้จาก
1.ภาพยนตร์ชีวประวัติของ RBG เรื่อง “On the Basis of Sex”
2.หนังสารคดีในชื่อเดียวกับฉายาตัวเธอ เรื่อง “RBG”
3.หนังสือชีวประวัติของ Ruth Bader Ginsburg เช่น
3.1 De Hart, Jane Sherron. Ruth BaderGinsburg : A Life. New York : Knopf, 2018.
3.2 Dodson, Scott. The Legacy of Ruth Bader Ginsburg. Cambridge University Press, 2015
3.3 Hirshman, Linda R. Sisters in Law : Sandra Day O’Connor and Ruth Bader Ginsburg Went to the Supreme Court and Changed the World. New York : HarperCollins, 2015.
4.New York Times, The. “Ginsburg says Her Cancer Has Returned, but She’s Fully Able to Remain on Court”, The New York Times (July 17, 2020).
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี