นี่คือการเมือง! คือ การต่อสู้ทางการเมือง ที่ไม่ได้“ตรงไปตรงมา” แต่เป็นเกมการต่อสู้ที่ซับซ้อนซ่อนกล
ฝ่ายผู้ชุมนุม อ้างข้อเรียกร้อง 3 ข้อ เป็นเกราะกำบังว่าเรียกร้องให้ยุบสภา ให้แก้รัฐธรรมนูญ และหยุดคุกคามประชาชน
ในข้อแรกนั้น เสียงอ่อน และ “หุบปากสนิท” ไปนานแล้ว เพราะหากยุบสภากันตอนนี้ ก็ต้องเลือกตั้งใหม่ คำนวณคะแนนใหม่ และให้ สว.ร่วมโหวตนายกฯ ได้ใหม่ ตามกติกาเดิมที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
ข้อสอง ฝ่ายรัฐ หรือผู้มีอำนาจก็พยายาม “ผ่อนสั้นผ่อนยาว” ลับลวงพรางไว้ว่า ฉันไม่ได้ปิดกั้นเรื่องนี้นะ ฉันตอบสนองนะ มันจึงเกิดการแสดงที่เสมือนยอมรับว่า เอาสิ แต่ละพรรคการเมือง กลุ่มกรเมือง หรือภาคประชาชนยื่นหนังสือหรือญัติเข้ามา ว่าจะเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแบบไหน มี สว.จำนวนหนึ่ง “เข้าฉาก” ด้วย ว่าเอาสิ ฉันยินดี ฉันเต็มใจ มามะ มามะ รัฐธรรมนูญมันใช้มาสักพักแล้วเนอะ เห็นปัญหาแล้วเนอะ ไม่ยึดติดแล้วล่ะ มามะ มาสิ มาแก้รัฐธรรมนูญกัน แต่ถามว่า แสดงตนให้เห็นเด่นชัด รวมตัวกัน ลงสัตยาบัน ให้เชื่อได้ ไว้ใจได้ถึง 84 คน ซึ่งเป็นเสียง สว.ระดับ “ต่ำสุด” ที่ต้องการไหม ไม่!!
ข้างฝ่าย สส. ล่ะ พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลก็ชิงไหวชิงพริบ ใครจะเป็น “ดารานำ” ใครจะเป็น“นักแสดงสมทบ” ก็ยังขบเหลี่ยมกันอยู่ พรรคเล็กพรรคน้อย เป็นแค่ตัว “ผสมโรง” ที่มาร่วมลงชื่อในญัติแก้ไข มาตรา 272ปิดสวิทช์ สว. กับพรรคก้าวไกลได้แป๊บเดียว พอมีคน “กระทืบเท้า” เข้าเท่านั้น มาถอนชื่อกันเป็นทิวแถว
เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่มี สส. จำนวนหนึ่งมาร่วมลงชื่อในญัติ แก้ 272 ของ พรรคก้าวไกล ข้าวคืนเท่านั้น ถอนชื่อกันตัวสั่นงันงก เหลือยืนหยัดยืนยันอยู่ไม่กี่คน ทั้งๆ ที่หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน เคยปราศรัยบนเวที “ปฏิญญาทุ่งสง” ว่า การเอา สว. มาโหวตเลือกนายกฯ เป็น “ประชาธิปไตยวิปริต” และตั้งเงื่อนไขการเข้าร่วมรัฐบาลว่า “ต้องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ”ให้เป็นประชาธิปไตย
สืบเข้าไปลึกๆ ก็มีหลายคนอธิบายว่า เล่นวิธี “ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม” หรือไม่จำเป็นต้องหักดิบรัฐบาลในเวลานี้ แต่รอให้มีการตั้ง ส.ส.ร. แล้วค่อยไปเสนอในตอนนั้นก็ได้ แปลความได้ว่า บัดนี้ข้าเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว ต้องกระทำการอย่างมีมารยาท รอคอยไปก่อนอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ระหว่างนี้ก็ขยันทำงาน ให้ประชาชนเขารักเขาชอบไป ไม่ต้องผลีผลาม
แต่หากจะวิเคราะห์ตามความเป็นจริงก็คือ นี่คือการ “ซื้อเวลา” หรือ “เตะถ่วง” การแก้ “จุดอ่อน” ที่สุดของรัฐธรรมนูญ แต่เป็น “จุดแข็ง” ที่สุด ใน “หลักประกัน”การเป็นนายกฯ ของพวก “คสช.” ที่บัดนี้ยังยึดตัวบุคคล คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น “พระเอก”
อย่าลืมว่า คำถามพ่วง ที่มาเติมกันที่หลัง เพื่อเปิดทางให้ สว. ซึ่ง คสช. ขอเลือกเอง คือการสร้าง “กรมธรรม์ประกันภัยทางการเมือง” ให้แก่ คสช. ว่า “ต่อ” แน่ๆ ไม่พังพาบไปหลังต้องมี “การเลือกตั้ง” เมื่อ คสช. กุมอำนาจเป็นรัฏฐาธิปัตย์มานาน จนถูกทวงถามว่าเมื่อไรจะคืนอำนาจให้ประชาชนสักที
จึงต้องหาวิธี “ยึดอำนาจต่อ” ผ่านพิธีกรรม “การเลือกตั้ง” ที่ต้องมีหลักประกันว่า “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ แต่ต้องอยู่ในสภาพ “ประยุทธ์” ที่ไม่ใช่ “นักการเมือง” เพราะประยุทธ์ “ไม่ชอบนักการเมือง” และสร้างบรรยากาศให้ผู้คน “เกลียดนักการเมือง”เอาไว้มาก ในช่วงต้นของการเป็นหัวหน้า คสช.
จึงนำมาสู่เงื่อนไข นายกฯ ไม่ต้องเป็น สส.(เป็นคนดี ที่พรรคการเมืองอัญเชิญมาเป็นนายกฯ เพราะในพรรคการเมือง หา สส.ที่ดีพอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้? ซึ่งก็ประหลาดดี) และให้ สว.มีอำนาจโหวตเลือกนายกฯ ด้วย
สรุปว่า ให้ “คนนอก” (คือ สว.ที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนเลือก) รอเลือก “คนนอก” ที่ไม่ต้องไปผ่านกระบวนการเลือกตั้ง และเป็นคนเลือก สว. มาเองกับมือ แถมเลือกคนในกรรมการคัดเลือก สว. ด้วยกัน มาเป็น สว. ตุนเสียงสนับสนุนรอไว้เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็เป็นแค่ “พิธีกรรม” การเลือกตั้ง เพื่อให้ได้ สส. มาเป็นเปลือกหุ้มความเป็น “ประชาธิปไตย” ของรัฐบาล คสช. อวตาร
ต่อมาจึงเกิดการเดินสายของกลุ่มสามมิตรผนึก ผสาน กับพรรคการเมืองที่ “เพื่อนสมคิด” ตั้งรอไว้ล่วงหน้า ออกชักชวนคนนั้นคนนี้มาเข้าพรรค ในเวลาที่พรรคการเมืองอื่นๆ ถูกคำสั่ง “ห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง” เรียกว่าเอาเปรียบกันทุกวิถีทาง
ยิ่งหากสืบลับลงไปในระดับพื้นที่ การเคลื่อนไหวของกองทัพ ฝ่ายความมั่นคง มหาดไทย ฯลฯ ที่เป็นกลไกของรัฐ ก็จะยิ่งพบว่า การแข่งขันนั้น ยากยิ่งที่จะสู้กันอย่าง “ยุติธรรม”
ด้วย “วิธีการมา” เช่นนี้เอง ที่บัดนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็อยู่ในอาการ “ผะอืดผะอม” จะอ้วกออกมาก็ไม่ได้ จะกลืนลงไปก็อ้วกนี้หว่า!!
ยิ่งมาเจอว่า ฝ่ายต่อต้านเป็น “คนรุ่นใหม่” ไม่ใช่พวก “ขาประจำทางการเมือง” หน้าเดิมๆ ก็ยิ่งจุก ได้แต่ยกเอาเรื่องโรคระบาดขึ้นมาบอกคนรุ่น “ลูกหลาน” ว่าต้องระวังนะ จะชุมนุมอะไรกัน รัฐบาลก็ตอบสนองอยู่แล้วนี่ส่วนเรื่องที่สาม ม็อบก็หยิบขึ้นมาเป็น “เกราะคุ้มกันตัวเอง” เท่านั้นแหละ ว่าถูกคุกคาม อย่าคุกคาม แล้วตีความคำว่าคุกคามเลอะเทอะไปหมด ไม่มีเอกภาพ มีหลักฐานพยานที่สร้างความเห็นพ้องจากคนอื่นๆ ได้แต่ในท้ายที่สุด ม็อบเองก็ “ลับ ลวง พราง” เพราะ 3 ข้อ ที่ว่านั้น “ไปต่อไม่ได้” ฝ่ายรัฐบาลได้ “ลดจุดอ่อน”ด้วยการเล่นบท “ตอบสนอง” แต่มันเป็นเรื่องที่ “ต้องใช้เวลา” ฝ่ายกองเชียร์รัฐบาลก็เร่งเร้าถามตลอดว่า “เขาตอบสนองแล้ว เธอจะมาม็อบกันทำไม”
บทเฉลยก็ออกมาเบื้องต้นแล้ว ที่ธรรมศาสตร์ รังสิต เมื่อแกนนำม็อบ เปิด 10 ข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และยืนยันว่า 19 กันยายน ที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ก็จะย้ำเรื่องนี้อีก การยึดท้องสนามหลวงให้เป็นสนามราษฎร การเตรียม “หมุดราษฎร”เพื่อจะเอาไปตอกฝังที่ลานพระบรมรูปทรงม้า (ที่ถูกรู้ทันเสียก่อน) และบริบทอื่นๆ ล้วนส่อไปในทาง “ไม่เอาสถาบันกษัตริย์”
หนุ่ย-อภิสิทธิ์ ทรัพย์นภาพันธ์ อดีตสมาชิกขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ที่เคยก่อเหตุข่มขืนนักกิจกรรมหญิง (แต่ไม่ได้เป็นแกนนำในการชุมนุม 19 กันยายน แต่อย่างใด) โพสต์ภาพโชว์ในเฟซบุ๊คหนุ่ย-อภิสิทธิ์ ว่าเตรียมเสื้อไว้ใส่ร่วมกิจกรรมการชุมนุมแล้ว โดยมีข้อความที่ด้านหลังตัวเสื้อว่า“ลุงพลที่ไม่ใช่ผัวป้าแต๋น” และด้านหน้ามีคำว่า “ลุงพล”แต่กากบาทที่คำว่า “ลุง” แล้วใส่คำว่า “นว” แทน
ยังไม่รวมถ้อยคำที่มีนัยฉวัดเฉวียนในเชิง“แซะสถาบัน” แบบนี้อยู่ตลอดเวลา
ผมจึงไม่แน่ใจว่า ข้อเสนอของ อ.สมชัย ศรีสุทธิยากรจะเกิดขึ้นได้ไหม
18 กันยายน 2563 นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง ผ่านเฟซบุ๊ค มีเนื้อหาดังนี้
“แนะท่านนายกฯ ลดกระแสการชุมนุม
ฟังนายกฯ พูดเมื่อตอนเย็น (17 ก.ย. 2563) เรื่องเป็นห่วงโควิด หากมีการชุมนุม ผมเลยขอแนะนำวิธีง่ายๆ เพื่อสลายการชุมนุม ดังนี้
ประกาศเลยครับว่า การประชุมรัฐสภาวันที่ 23-24 ก.ย.นี้ รัฐบาลเห็นด้วยและได้สั่ง สส.ฝ่ายรัฐบาล และขอความร่วมมือกับสมาชิกวุฒิสภา ให้
1. แก้ มาตรา 256 โดย ดึงเงื่อนไข สว.ร่วมเห็นชอบ 1 ใน 3 ออก
2. ยอมให้มีการตั้ง ส.ส.ร. เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นกลาง
3. เห็นด้วยกับ การยกเลิก มาตรา 272 เรื่อง สว. มีสิทธิเลือกนายก
4. ยอมยกเลิก ม.269 ยุติ สว.ที่มาจากการแต่งตั้ง กลับไปใช้การคัดเลือก สว.ใหม่ 200 คน ด้วยวิธีปกติตามมาตรา 107
ประกาศ แมนๆ ชัดๆ 4 ข้อ นี้ การชุมนุมวันเสาร์ อาทิตย์นี้ คนเหลือไม่กี่พันแน่นอน”
ไอ้ “ประกาศแมนๆ” ที่ว่านี้ ก็ยากที่นายกฯ จะประกาศอยู่แล้ว เพราะเท่ากับเผา “กรมธรรม์ทางการเมือง”ทิ้ง ไม่มี สว. คอยเป็นหลักพิง เป็นหลักประกัน เป็นตัวถ่วงกับฝ่าย สส. ให้แล้ว ยังไม่รู้อีกว่า ฝ่ายต่อต้านฝ่ายชุมนุมจะหยุดอยู่แต่นี้จริงหรือไม่
นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “สถาบันการเมืองไทยในยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลง” ณ ค่ายเยาวชนคนรุ่นใหม่ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในฐานะพลเมือง จัดโดย คณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน
โดยนายปิยบุตรกล่าวตอนหนึ่งว่า การเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญมีได้ 2 แบบ แบบที่หนึ่ง ผู้มีอำนาจหรือผู้ปกครองเห็นว่าถึงเวลาจำเป็น จึงยอมให้ประชาชนมีอำนาจ โดยเขียนและมอบรัฐธรรมนูญให้ประชาชนใช้ เปรียบเสมือนการโยนกระดูกให้ หากจะเอาคืนเมื่อไหร่ ย่อมทำได้ทันที แบบที่สอง คือประชาชนเป็นผู้ตกลงกันว่าจะปกครองกันอย่างไร เพราะประชาชนไม่เชื่อในผู้ทรงอำนาจอีกต่อไป จึงรวมตัวกัน บอกว่าอำนาจอยู่ที่ประชาชนต่างหาก และทวงคืนอำนาจมากำหนดเองว่าข้อตกลงร่วมกันจะเป็นอย่างไร
โดยแบบที่หนึ่งเมื่อผู้ปกครองเป็นคนมอบรัฐธรรมนูญให้ ผู้ปกครองก็จะมี 2 มิติ คือมิติแรกผู้นั้นเป็นเจ้าของรัฐธรรมนูญด้วย เมื่อมอบให้ประชาชนแล้วผู้ปกครองก็จะอยู่ในมิติที่สอง คือต้องมาอยู่ใต้รัฐธรรมนูญด้วย แต่แบบที่สอง ผู้ปกครองจะตัวลีบ เพราะถือว่าประชาชนเป็นคนให้อำนาจแก่ผู้ปกครอง
“ผมอยากชวนให้ทุกคนคิดถึงเรื่องนี้ เพราะนี่คือ อำนาจการก่อตั้งรัฐธรรมนูญ ภาษาโบราณคืออำนาจในการก่อตั้งแผ่นดิน ที่จะบอกว่ามีสถาบันการเมืองมีอะไรบ้าง จะปกครองกันอย่างไร อำนาจนี้จึงเป็นอำนาจที่ใหญ่ที่สุด” ปิยบุตร กล่าว
นายปิยบุตรเปรียบเทียบให้นักศึกษาฟังว่าระบอบใหม่จะมาแทนระบอบเก่า สิ่งใหม่จะมาแทนสิ่งเก่า ก็เหมือนเราเปลี่ยนแฟน คือเราจะมีแฟนใหม่ไม่ได้ ถ้าเราไม่เลิกกับแฟนเก่า คือเราจะมีแฟนพร้อมกันสองคนไม่ได้ประเด็นสำคัญที่จะทำเราเลิกกับแฟนเก่าได้ เราต้อง“เลิกรัก” หรือ“หมดรัก” ดังนั้นถ้าคุณอยากจะมีแฟนใหม่คุณต้องคุยกับตัวเองว่า คุณเลิกรักแฟนเก่า หมดรักแฟนเก่าให้ได้
“นั่นคือ หากคุณไม่ล้มระบอบเดิม ระบอบใหม่ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากคุณจะเอาระบอบใหม่เข้ามา ก็ต้องเอาระบอบเดิมออกก่อน กติกาของระบอบเดิมเป็นอย่างไร ผู้มีอำนาจเขียนไว้แล้ว บอกให้แต่คนอยู่แถวหน้าแก้ได้เท่านั้น คนข้างหลังไม่มีสิทธิแก้ คนข้างหลังก็ไปสะกิดคนข้างหน้าว่าให้แก้ให้หน่อย เขาไม่ยอมแก้ เพราะบอกว่าข้างหลังไม่ได้ตั้งเขามา ผู้มีอำนาจต่างหากตั้งมา เขาก็ไม่ยอมทำตาม”
ผมเชื่อว่า นี่คือ “แกนความคิด” ของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลในขณะนี้
มันก็อิหลักอิเหลื่อเหลือใจนะครับ
นายกฯ ปัจจุบัน ก็หาหนทางเข้าสู่อำนาจมาอย่าง “มีตำหนิ” เข้ามาแล้วก็ “ขาดฝีมือ” ในการบริหารบ้านเมืองชนิดที่กลายเป็น “จุดเด่น” ที่ไปกลบ “จุดด้อย” เรื่องการเข้าสู่อำนาจได้
เปิดทางให้อีกฝ่าย เร่งเร้าให้เกิด “การเปลี่ยนแปลง” ที่เลยข้ามจากเรื่อง “สืบทอดอำนาจ” ของรัฐบาลแล้ว ผมเชื่อว่าเขาไปไกลถึงการสืบทอด “อีกอำนาจหนึ่ง” ที่เขาอยาก “ลดอำนาจนั้นลง หรือถึงขั้น ไม่มีอำนาจนั้นอยู่เลยก็เป็นได้
รัฐบาลที่จะมีความชอบธรรมที่จะปกป้องอำนาจดังกล่าว จึงต้องมาแก้ปัญหาเรื่อง “ความชอบธรรม” ในการมีอำนาจของตัวเองให้ได้เสียก่อน
ซึ่งดูอาการแล้ว คงไม่ทำ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี