ท่านผู้นำของไทยเราพูดเจื้อยแจ้วออกสื่ออยู่ทุกวี่ทุกวันว่า “บ้านเมืองต้องมีเสถียรภาพและความสงบเรียบร้อย” ฟังเผินๆ ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่หากลองหันไปมองอดีตที่ผ่านมา เราจะเห็นว่า ผู้นำคนใด หรือประเทศใด ที่พยายามย้ำเตือนเรื่องเสถียรภาพของบ้านเมือง มักจะเป็นผู้นำที่
1.แยกไม่ออกระหว่างเสถียรภาพของบ้านเมือง กับเสถียรภาพอำนาจปกครองของตนเอง หรือของพรรคพวกตน โดยมองว่าทั้ง 2 อย่างถือเป็นเรื่องเดียวกัน
2.ไม่คิด ไม่ตระหนัก ไม่สำนึก ไม่สำเหนียกว่าสาเหตุหลักๆ ที่จะส่งผลให้บ้านเมืองไม่มีเสถียรภาพ หรือมีเสถียรภาพแบบกระท่อนกระแท่นนั้น มักจะมาจากตัวผู้นำนั่นเอง เพราะมีพฤติกรรมที่เป็นตัวปัญหา เป็นต้นตอความขัดแย้งของสังคม
3.มั่นใจว่า มีความมั่นคงในตำแหน่งอำนาจ ซึ่งไม่มีอะไรจะมาระคายเคือง สั่นคลอน หรือบ่อนทำลายได้ แม้รู้ว่าตัวตนเองเป็นต้นตอปัญหา แต่ก็เฉยเมย แถมยังฉวยโอกาสย้อนรอยด้วยการป้ายร้ายป้ายสี หรือโยนบาปไปให้กับผู้เห็นต่าง ผู้ไม่เห็นด้วยกับการเข้ามาสู่อำนาจว่าเป็นตัวปัญหาของบ้านเมือง
ประเด็นปัญหาความขัดแย้งขนาดใหญ่ในสังคมไทยที่ส่งผลต่อเสถียรภาพของบ้านเมืองไทยในขณะนี้ ก็คือการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตัดสินใจใช้กำลังทหารยึดอำนาจ ด้วยคำสัญญาประชาคมที่ว่า จะปฏิรูปประเทศไทยและการเมืองไทย ให้พร้อมต่อการพัฒนาและก้าวไปข้างหน้า ทำให้สังคมยอมรับการขึ้นครองอำนาจแบบเผด็จการ แต่แล้วก็ไม่ได้ลงมือทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน เพราะมัวสาละวนกับการมุ่งต่ออายุอำนาจให้กับตนเองและพวกพ้อง จนนำไปสู่การขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ แบบกึ่งเสรีกึ่งเผด็จการ ซึ่งเป็นความไม่สง่างามทางการเมืองเพราะเต็มไปด้วยเล่ห์กระเท่ เล่ห์กลต่างๆ ดังที่สังคมทราบกันดี นอกจากนั้นก็ยังไปดึงเอาบุคคลที่มีมลทิน โดยบางคนถูกระบุจาก พลเอกประยุทธ์ สมัยทำการรัฐประหารว่าเป็นคนไม่ดี มาเป็นมือเป็นเท้าในรัฐบาลของตน แถมไม่มีฝีมือที่จะพัฒนาประเทศอีกด้วย สังคมก็ยิ่งเกิดความเอือมระอา เพราะเขารู้สึกว่า ท่านผู้นำมัวแต่เล่นเกมการเมืองโดยเอาตำแหน่งแลกเสียงสนับสนุนไปเรื่อยๆ
เมื่อผู้นำประเทศมีพฤติกรรมที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรมดังกล่าว ก็เลยเกิดความไม่พึงพอใจในสังคมจนปะทุบานปลายกลายเป็นปัญหาบ้านเมือง เมื่อถูกแทรกแซงจากกลุ่มผู้เสียประโยชน์ หรือกลุ่มอุดมการณ์อื่นๆ ความไม่พอใจของประชาชนก็ระเบิดออกเป็นการชุมนุมรวมตัวประท้วงบนท้องถนน และเกิดการเผชิญหน้าระหว่างมวลชนที่เห็นต่าง ซึ่งส่งผลให้สังคมไทยไร้เสถียรภาพ
ฉะนั้น การทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว แล้วเอาแต่กล่าวโทษมวลชนว่า เป็นผู้ทำให้บ้านเมืองไร้เสถียรภาพ แล้วทำการเรียกร้องให้ผู้อื่นช่วยเห็นแก่บ้านเมือง โดยที่ไม่ได้พิจารณาความผิดของตนเองแม้แต่น้อยนั้น จึงเสมือนคนขาดสติขาดปัญญา อันเนื่องมาจากการหลงอำนาจวาสนา จนกลายเป็นผู้ที่หิวโหยต่ออำนาจและคำเยินยอประจบสอพลออย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่เดิมเลย ก็คงไม่มีใครที่จะรู้สึกไม่ชอบพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นการส่วนตัว แต่เมื่อพลเอกประยุทธ์ ก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลสาธารณะที่มีอำนาจ แล้วมีท่าทีที่ไม่สง่างามเช่นนี้ มันจึงกลายเป็นเรื่องปัญหาบ้านเมือง ให้ประชาชนเขาออกมาขับไล่ แม้คนไทยจะอยากได้ความมีเสถียรภาพ และความสงบ แต่เขาก็ยังต้องชั่งใจกับความเจริญก้าวหน้าของประเทศเช่นกัน
ผมเชื่อว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่า ตนเองขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศได้อย่างไร เพียงแต่จะมีความเข้าใจในเรื่อง จริยธรรม และธรรมาภิบาล เพียงพอที่จะตระหนักได้ว่า หนทางของตนเองที่ผ่านมานั้นไม่ได้มีความชอบธรรม จนทำให้วันนี้ ตัวพลเอกประยุทธ์ เอง ได้กลายเป็นตัวปัญหาที่กัดกร่อนเสถียรภาพบ้านเมืองเสียเอง และมันจะไม่จบสิ้น หากยังดื้อรั้น ยืนกระต่ายขาเดียวว่าตนเองไม่มีส่วนร่วมในปัญหานี้
จิตสำนึกผิดชอบชั่วดีเท่านั้น ที่จะช่วยให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยอมรับความจริงได้ และตัดสินใจแก้ไขปัญหาด้วยมือของตนเอง โดยไม่ต้องไปรอให้เด็กออกมาชูนิ้ว ไล่ให้ออกไปจากตำแหน่ง
สังคมรอให้ท่านผู้นำกระทำความดี เพื่อบ้านเมือง ด้วยการถอยออกไป และไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก อย่ามัวแต่ห่วงว่า แล้วจะมีผู้ใดมาทำหน้าที่แทนตน หรือในอนาคตประเทศไทยจะใช้ระบบใดในการเฟ้นหาผู้นำประเทศคนต่อไป เพราะเมื่อปลดชนวนตัวปัญหาต้นได้แล้ว ปัญหาอื่นๆ ก็จะค่อยๆ คลี่คลายลงไปเอง
คนไทยเราต่างมีปัญหา มีความไม่พอใจกันทั้งนั้นแต่เมื่อมาผสมผสานกับสภาพจิตใจที่ดีงาม สุดท้ายพวกเราจะเจรจา และสรรหาระบบที่รับกันได้ แล้วเขาก็จะไปเลือกคนที่เป็นที่ยอมรับกันได้ด้วยตัวเขาเอง
แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นได้ ผู้มีอำนาจจะต้องแยกให้ได้ระหว่างเสถียรภาพของประเทศ และสังคม กับ เสถียรภาพในอำนาจปกครองของพรรคพวกตน เพราะบางครั้ง เมื่อตัวผู้นำเป็นสาเหตุแห่งความแตกแยก ผู้นำก็ต้องยอมสละเสถียรภาพในอำนาจของตน เพื่อให้สังคมก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมีเสถียรภาพ
เมื่อต้นเหตุของปัญหาถูกนำออกไปแล้ว สังคมก็จะต้องตั้งธงไปยังการที่เสถียรภาพบ้านเมืองเริ่มต้นกันที่ การมีกติกาที่โปร่งใสและเป็นธรรม ซึ่งสามารถตอบสนองส่วนรวม โดยไม่เอื้อซึ่งผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มใดๆ ทั้งสิ้น และร่วมมือร่วมใจสร้างกฎกติกาที่เป็นธรรมขึ้นมา เพื่อใช้เป็นกรอบให้สังคมเดินหน้าไปด้วยกันอย่างสันติ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี