จากการสืบค้นย้อนหลัง ผมพบว่า โครงการใดก็ตามที่ ป.ป.ช.ถึงขนาดมีเอกสารแจ้งเตือน หรือท้วงติง แล้วหากดึงดันดำเนินการต่อไป นั่นแสดงว่ามีกลิ่นตุๆ เป็นข้อพิรุธอยู่ในตัวเอง
ยิ่งกว่านั้น ยังพบตามมาอีกสองประการ คือ 1) โครงการดึงดันทำต่อเหล่านั้น จะเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติส่วนรวมจริงๆ และ 2) ผู้เกี่ยวข้องกับโครงการนั้นมักจะถูก ป.ป.ช.ชี้มูล
ความผิด ถูกดำเนินคดี และติดคุกติดตะรางในที่สุด
กรณีโครงการจำนำข้าวซ่อนโกงคือ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ว่า ป.ป.ช.เคยเตือนแล้ว และเมื่อผู้มีอำนาจดึงดันดำเนินการ ในที่สุดก็สร้างความพินาศต่อประเทศชาติ และนำพาผู้เกี่ยวข้องไปพบหายนะ ต้องติดตะราง ถูกติดตามยึดทรัพย์ หรือหนีคุกหรือตะรางกันขนาดไหน
1. บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัด เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2545 โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ร้อยละ 70 มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบและส่งเสริมกิจการท่าอากาศยาน รวมทั้งการดำเนินกิจการอื่นที่เกี่ยวข้องหรือต่อเนื่องกับการประกอบกิจการท่าอากาศยาน
ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ดำเนินการหารายได้จากธุรกิจห้างสรรพสินค้าในสนามบิน
2.ผู้บริหารทอท. มีความต้องการก่อสร้างอาคารเทอร์มินัล 2 ทางทิศเหนือ ซึ่งถูกกลุ่มวิชาชีพสถาปัตย์และวิศวกรรมที่คัดค้านขนานนามว่า เทอร์มินัลตัดแปะ (เนื่องจากอยู่นอกแผนแม่บทเดิม และเป็นอาคารที่จะมีพื้นที่พาณิชย์จำนวนมาก กึ่งๆ ห้างสรรพสินค้า)
แนวทางการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิตามแผนแม่บท คือ สร้างส่วนต่อขยายเทอร์มินัล 1 ด้านทิศตะวันออก (ตรงที่เป็นซิตี้การ์เด้นในปัจจุบัน ดังปรากฏในรูปภาพที่ผมเพิ่งถ่ายมาเองเมื่อปลายเดือน ธ.ค.2563)
จากภาพจะเห็นว่า พื้นที่ดังกล่าวพร้อมก่อสร้าง เพราะต้นไม้ทั้งหมดอยู่ในกระถาง พร้อมจะให้ขนย้ายออกไป นั่นเพราะการขยายเทอร์มินัลทางฝั่งตะวันออกนี้ อยู่ในแผนแม่บทพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่ต้น แต่กลับถูกเปลี่ยนแปลงไปในภายหลัง จนปัจจุบันแม้สภาพัฒน์จะคัดค้านเทอร์มินัลตัดแปะอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรถึงสองครั้ง (พร้อมแนะนำให้ดำเนินการตามแผนแม่บทเดิม) แต่ ทอท.และกระทรวงคมนาคมก็ยังพยายามผลักดันก่อสร้างอาคารเทอร์มินัล 2 ทางทิศเหนือ วงเงินลงทุน 42,000 ล้านบาท ต่อไป
3. สภาพัฒน์ยืนยันความเห็นชัดเจนว่า ให้ ทอท.เร่งขยายเทอร์มินัล 1 ทางด้านทิศตะวันออก แทนที่จะไปก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ โดยแนวทางที่สภาพัฒน์ได้นำเสนอนั้น มีเหตุผลประกอบชัดเจน และสอดคล้องกับข้อเสนอแนะและข้อท้วงติงจากสภาวิชาชีพสถาปัตย์และวิศวกรรม องค์กรวิชาชีพ 12 องค์กร ตลอดจนภาคประชาสังคมที่ติดตามเรื่องนี้
น่าสงสัยว่า ทำไมยังมีคนดึงดันจะดำเนินการก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ มูลค่าลงทุนถึง 42,000 ล้านบาทต่อไปอีก โดยไม่เร่งดำเนินการก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออกตามแผนแม่บทเดิมการละเว้นไม่ดำเนินการก็อาจจะทำให้ประเทศชาติเสียโอกาสต่อไปในอนาคตด้วย
4.ล่าสุด ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ได้เปิดเผยว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีหนังสือถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ว่าด้วยเรื่อง “ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษา โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2 กรณีการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือ (North Expansion)”
ผมทราบจากแหล่งข่าวด้วยว่า งานนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว เห็นควรมีข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันการทุจริต ตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561
ระบุชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินงานของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
1)ควรเร่งดำเนินการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก (East Expansion) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2553 ซึ่งอยู่ในแผนงานเดิมโดยเร็ว ให้สอดคล้องกับอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 ที่กำลังจะเปิดให้บริการในปี 2565 และควรดำเนินโครงการก่อสร้างส่วนต่อขยาย ด้านทิศตะวันตกในคราวเดียวกัน เพื่อให้สนามบินสุวรรณภูมิสามารถรองรับผู้โดยสารสูงสุด 75 ล้านคนต่อปี เพื่อลดความแออัดของอาคารผู้โดยสารปัจจุบัน
2)ควรดำเนินการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตามคำแนะนำของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ดำเนินการขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก และก่อสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ เพื่อรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 120 ล้านคนต่อปี เป็นลำดับแรกก่อน แล้วจึงนำโครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือ (North Expansion)มาพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง
5. ผมเชื่อว่า เมื่อถึงขนาด ป.ป.ช.มีหนังสือ “เสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตฯ” อย่างเป็นทางการ อันมีผลตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันปราบปรามการทุจริต
ไม่ต่างกับที่เคยเตือนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เกี่ยวกับโครงการหายนะจำนำข้าวซ่อนโกง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้บริหาร ผู้มีอำนาจที่มีเจตนาดีต่อบ้านเมืองพึงต้องรับฟัง และตัดสินใจในแนวทางที่ถูกต้อง โดยเลิกดึงดันผลักดันโครงการก่อสร้างอาคารเทอร์มินัล 2 ทางทิศเหนือ วงเงินลงทุน 42,000 ล้านบาทอีกต่อไป
ผมเชื่อว่า ถ้า ทอท. และกระทรวงคมนาคม เดินหน้าตามแนวทางสภาพัฒน์ ที่สำทับโดย ป.ป.ช. คือ เดินตามแผนแม่บทเดิมที่ผ่านการจัดทำอย่างรอบคอบ รัดกุม และมีประสิทธิภาพนั้น สนามบินสุวรรณภูมิของเรามีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นสนามบินชั้นนำของโลกได้
และผมมั่นใจมากว่า เมื่อ ป.ป.ช.ทำหนังสือเตือนถึง ครม.แบบนี้แล้ว ยังมีใครดึงดันดำเนินการก่อสร้างต่อไปอยู่อีก ก็คงจะเกิดหายนะกับประเทศชาติ และจะต้องมีคนติดคุกติดตะรางกันอีกหลายคนแน่ๆ
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี