บ้านเมืองประสบกับปัญหาวิกฤติรอบด้านตลอดเวลาตั้งแต่ประสบปัญหาโควิด-19 ไวรัสอุบัติใหม่ที่มีการระบาดครั้งใหญ่และอันตรายต่อชีวิต เป็นเหตุให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ การเมือง ความมั่นคง และสังคม
ปัญหาวิกฤติรอบด้านอาจทุเลาเบาลงได้ถ้าสังคมยังไม่วิปริตวิกฤติจิตสำนึก จิตสำนึกรักชาติของคนที่เรียกว่าคนรุ่นใหม่เลือนหายไปกับสังคมไทยเพราะนักวิชาการครูบาอาจารย์ที่จิตสำนึกบกพร่องล้างสมองคนรุ่นใหม่ให้ชังชาติอาฆาตพยาบาทสถาบันฯอันเป็นศูนย์กลางของความมั่นคง
คนรุ่นใหม่ที่ไร้จิตสำนึกถูกใช้เป็นเครื่องมือของนักการเมืองผู้มักใหญ่ใฝ่สูงทะเยอะทะยานจะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน เพราะมักใหญ่ใฝ่สูงทำให้ไม่มีที่ยืนบนผืนแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์นี้
แต่คนมักใหญ่ใฝ่สูงถึงแม้จะกลายเป็นสัมภเวสีก็ยังมีตัวแทนสมุนบริวารเครือข่ายสืบทอดความไร้จิตสำนึกรักชาติแต่อาฆาตพยาบาทสถาบัน สมุนบริวารของคนมักใหญ่ใฝ่สูงจึงสนับสนุนให้ท้ายรวมทั้งปัจจัย ตลอดถึงช่วยเหลือให้กำลังใจคนรุ่นใหม่ไร้จิตสำนึกที่เลวร้ายได้โอกาสทุกช่องทางที่มี
คนรุ่นใหม่ไร้จิตสำนึกที่ถูกล้างสมองเริ่มปลุกระดมให้สังคมต่อต้านรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารและต่อมามีพรรคการเมืองคนรุ่นใหม่เพิ่มฟืนเข้าไปในกองไฟด้วยการสนับสนุนกำลังคนและปัจจัยปลุกระดมให้ทำลายทหารพานไปถึงสถาบันฯ
โดยมีนักวิชาการที่มีความคิดสามานย์อุดมการณ์ล้มเจ้า และนักการเมืองที่แฝงตัวอยู่ในพรรคแกนนำรัฐบาลบางคนสมคบกับนักการเมืองฝ่ายค้านให้การสนับสนุนทั้งกำลังคนและปัจจัยตลอดถึงให้ท้ายคนรุ่นใหม่ ว่ากล้าพูดความจริงชนิดที่ไม่เคย
มีใครไม่มีคนรุ่นไหนกล้าท้าทายอย่างหยาบคายชั่วช้ามาก่อน
ในขณะที่คนรุ่นใหม่ไร้จิตสำนึกได้รับการสนับสนุนกำลังคนและปัจจัยจากพรรคการเมืองและนักวิชาการต่อต้านสถาบันกระทำการชั่วร้ายผิดกฎหมายหลายมาตรา ทว่า หน่วยงานความมั่นคงและเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบกลับหย่อนยานต่อหน้าที่ปล่อยปละละเลยจนคนชั่วได้ใจไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่เคารพกฎกติกา
รัฐบาลก็ได้แต่ปรามโดยยก พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ใช้ เพื่อควบคุมการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ขึ้นมาปรามว่าการชุมนุมทำไม่ได้ผิด ก.ม. ที่ใช้ป้องกันไม่ให้ไวรัสโควิดระบาดครั้งใหญ่ ในท่ามกลางการขัดขืนดื้อรั้นของกลุ่มคนชั่วร้าย เกิดปรากฏการณ์ไร้จิตสำนึกของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีรายได้จากสนามมวย
ระบาดใหญ่รอบแรกเกิดจากสนามมวยฝ่าฝืนคำสั่งห้ามจัดกิจกรรม ทำให้รัฐบาลต้องใช้กำลังคน กำลังทรัพย์และมาตรการหลากหลายถึงระงับการระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 ได้ระดับหนึ่ง
เพราะการขาดจิตสำนึกของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทำให้เด็กรุ่นใหม่ที่ไร้จิตสำนึกต่อชาติ มีแต่ความอาฆาตพยาบาทสถาบันใช้เป็นข้ออ้างจัดชุมนุมโจมตีทำลายทำร้ายสถาบันรุนแรงขึ้นตามลำดับ จนประชาชนทนไม่ได้เรียกร้องกดดันให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายปราบปรามผู้คิดร้ายมุ่งทำลายสถาบัน
เมื่อถูกประชาชนกดดันให้บังคับใช้กฎหมายจับกุมคุมขังตามหมายศาล นักการเมืองไร้จิตสำนึกก็ใช้ตำแหน่ง สส.และทรัพย์สินเป็นหลักประกันตัวออกมา ในบางครั้งระหว่างรอการประกันตัวนักการเมืองที่เป็นเสนาบดีก็เข้าไปปลอบใจให้ความมั่นใจถึงในคุก
เมื่อได้รับความมั่นใจจากระดับเสนาบดี จากนักการเมืองบางพรรค จากนักวิชาการที่จัดการให้ชาวต่างชาติสนับสนุนทั้งการเงินและกำลังใจเด็กรุ่นใหม่ไร้จิตสำนึกก็คิดนึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่
ท่ามกลางความเหิมเกริมของคนรุ่นใหม่ไร้จิตสำนึกรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เกิดโควิด-19 ระบาดระลอกสองและระลอกสามตามมาเพราะเหตุว่าข้าราชการและนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ปล่อยให้มีการลักลอบนำแรงงานเถื่อนเข้ามา ตลอดถึงปล่อยให้มีบ่อนการพนัน เลานจ์คลับ บาร์ คาราโอเกะ ฯลฯ
เป็นที่น่าสังเกตว่าต้นตอของการระบาดครั้งใหญ่ ไม่ได้มาจากชาวบ้านธรรมดาแต่มาจากเจ้าพ่อบ่อนการพนัน มาจากนักการเมืองระดับรัฐมนตรีที่ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมและตนเอง หนึ่งใน major spreaders ล่าสุดที่เกิดขึ้นเมื่อกลางเดือนเม.ย. ก็มาจากการชุมนุมรดน้ำดำหัวเสนาบดีที่เป็นขวัญใจของคนรุ่นใหม่ไร้จิตสำนึก
ขณะที่คนรุ่นใหม่ไร้จิตสำนึกรักชาติแต่อาฆาตพยาบาทสถาบัน เมื่อโจมตีทำร้ายทำลายสถาบัน ทหารและรัฐบาลจนหนำใจ ก็เปลี่ยนเป้าหมายใหม่ไปทำลายฝ่ายตุลาการทำลายศาลเป็นเป้าหมายต่อไป
ตามหลักสากลการแทรกแซงโจมตีทำลายฝ่ายตุลาการถือเป็นการทำลายรากฐานการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ดังบทความต่อไปนี้ที่เขียนโดย Judy Perry Maritnez อดีต President ของ America
Bar Association (ABA) หรือประธานเนติบัณฑิตยสภาของสหรัฐ
เรื่อง การปกป้องศาล : การคุกคามผู้พิพากษาอย่างไม่เป็นธรรม บ่อนทำลายความเป็นอิสระของศาลและหลักนิติธรรม เนื้อหาพอสรุปได้ดังนี้
หลักความเป็นอิสระของศาล (Independent Judiciary) เป็นองค์ประกอบอันสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก ฝ่ายตุลาการต้องสร้างสมดุลของอำนาจไปพร้อมๆ กับฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ภายใต้หลักที่ว่า การตัดสินคดีความนั้นจะต้องไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลหรือถูกเบี่ยงเบนด้วยความกดดันทางการเมืองหรือกระแสสังคม
การทำหน้าที่ของผู้พิพากษาย่อมเป็นเป้านิ่งต่อการถูกคุกคามด้วยอารมณ์และความไม่มีเหตุผล โดยที่ผู้พิพากษาไม่มีเครื่องมือที่จะตอบโต้ได้ เนื่องจากถูกจำกัดด้วยหน้าที่ตามจริยธรรม (moral authority)
คดีหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา มีคนนำข้อมูลส่วนตัวและครอบครัวของผู้พิพากษาศาลสหรัฐท่านหนึ่งมาเปิดเผยออนไลน์ หลังจากที่ตัดสินคดีสำคัญ จนเป็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ และถูกถากถางความน่าเชื่อถือในวิชาชีพของผู้พิพากษาท่านนี้
ผู้พิพากษาคนนั้นต้องรับโทรศัพท์ข่มขู่มากกว่า 42,000 สาย ไม่รวมอีเมลและจดหมายมากกว่า 1,100 ฉบับ ที่ส่งมาด่าทอ
ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของผู้พิพากษา และการวิพากษ์วิจารณ์เป็นเรื่องปกติของวิชาชีพกฎหมาย อาจารย์กฎหมายในมหาวิทยาลัยก็วิจารณ์กันเป็นปกติ แม้แต่ศาลสูงก็วินิจฉัยตรวจสอบศาลล่างเป็นธรรมดา เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้กระบวนการการตัดสินคดีเป็นไปตามหลักนิติธรรม
แต่เมื่อการวิพากษ์วิจารณ์เลยเถิดมากไปกว่าการแสดงความเห็นด้วยเหตุด้วยผล กลายเป็นการเย้ยหยัน ดูถูก ถากถาง คำตัดสิน เกินเลยไปจนกระทั่งข่มขู่ คุกคาม จ้องจะแก้แค้นต่อบุคคล จากการตัดสินความที่ไม่เป็นที่สบอารมณ์ของเขาเหล่านั้น
“สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาในระบบศาลยุติธรรม แต่ยังเป็นการทำลายรากฐานของความเป็นประชาธิปไตยอีกด้วย” บทความนี้ยังมีอีก...แต่ตัดเอาเฉพาะตอนที่เขียนว่าทำไมต้องปกป้องศาล เพราะการทำลายศาล#คือการทำลายรากฐานของความเป็นประชาธิปไตย
ดังที่คนรุ่นใหม่ไร้จิตสำนึกกำลังทำลายสถาบันตุลาการอยู่เวลานี้โดยที่ใช้ข้ออ้าง การดำเนินคดีกับจำเลยที่กระทำผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายปกป้องสถาบันและคดีอาญาอื่นๆ อีกหลายมาตราซึ่งศาลให้ประกันไม่ได้ เนื่องจากจำเลยมิได้มีความประสงค์จะให้ได้รับการปล่อยเป็นอิสระชั่วคราว แต่มีเป้าหมายมุ่งร้ายทำลายสถาบันตุลาการ
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี