เป็นที่ทราบกันดีว่า ประชาคมโลกได้เห็นพ้องต้องกันแล้วว่า ทุกชาติจะต้องร่วมป้องกันมิให้อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้นอย่างไม่มีขอบเขต เพราะมันเป็นอันตรายต่อความสม่ำเสมอของฤดูกาล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสภาพของอากาศ น้ำ หิมะ น้ำแข็ง และพื้นดิน ให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวงพูดง่ายๆ ว่า เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง
ประชาคมโลกจึงได้ตกลงกันที่จะช่วยกันยับยั้งมิให้โลกร้อนขึ้น โดยตั้งเป้าไว้ว่า ภายในศตวรรษนี้ เราจะเพียรพยายามมิให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้นเกิน 1.5-2 องศาเซลเซียส
วิธีการหนึ่งอันสำคัญ ก็คือการลด และยกเลิกการใช้พลังงานธรรมชาติ อันได้แก่ ก๊าซ น้ำมัน และถ่านหิน และหันไปใช้พลังงานใสสะอาด(หรือพลังงานหมุนเวียนและทดแทน) เช่น น้ำ คลื่น ลม และแสงอาทิตย์ รวมทั้งพลังงานมวลชีวภาพ ไปจนถึงการวิจัยค้นคว้าปรับปรุงการใช้พลังงานปรมาณูให้ได้อย่างปลอดภัย และลดภยันตรายจากกากที่ใช้แล้ว
ในการนี้ ทุกประเทศรวมทั้งประเทศไทย จะต้องมุ่งหน้าทำให้การใช้ก๊าซ น้ำมันธรรมชาติ และถ่านหิน กลายเป็นอดีต โดยโลกจะต้องมุ่งไปใช้ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเพื่อครัวเรือน โรงงาน เครื่องมือใช้สอย และยานพาหนะทั้งทางบก เรือ และอากาศ ต่างต้องมาจากวัตถุดิบเชื้อเพลิงสะอาดเท่านั้น
ฉะนั้นแล้ว ในฐานะที่ประเทศไทยอยู่ในภาคีโลก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฝผ.) จึงสมควรจะต้องมีแผนงานอย่างแน่ชัดในการทยอยลดการใช้ถ่านหิน ก๊าซ และน้ำมัน เพื่อผลิตไฟฟ้า และหันไปใช้พลังงานทดแทนและหมุนเวียนต่างๆดังกล่าวแทน
อีกทั้งแวดวงอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมเครื่องจักรเครื่องยนต์ทั้งหลาย ก็ต้องร่วมกันวางแผนเพื่อยุติการใช้น้ำมัน และก๊าซทั้งหลาย แล้วหันมาใช้ระบบแบตเตอรี่ไฟฟ้าแทน
คู่ขนานกันไป การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนก็ต้องเป็นตลาดเสรี ไม่มีการผูกขาดโดยฝ่ายรัฐหรือรัฐวิสาหกิจอีกต่อไป โดยเฉพาะการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่ถือเป็นของมวลมนุษยชาติ เนื่องจากไม่มีต้นทุน ไม่ต้องมีการนำเข้า ไม่ต้องมีการค้นหา อยู่กับมวลมนุษย์อย่างน้อยก็ 12 ชั่วโมงต่อวัน
เมื่อโลกจะสละแล้วซึ่งถ่านหิน (ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตไทยถือเป็นผู้นำเข้าแต่ผู้เดียว) ก๊าซ และน้ำมันธรรมชาติ ซึ่งการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยรับผิดชอบในการจัดหา ก็หมายความว่าการคงอยู่ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยอีกต่อไปนั้น จะกลายเป็นความล้าสมัย เพราะสวนทางกับแนวโน้มของประชาคมโลก และไม่เป็นไปตามพันธกรณีที่ประเทศไทยมีอยู่กับประชาคมโลก โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำพาของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ไปมีส่วนร่วมเห็นพ้องต้องกันกับประชาคมโลก ภายใต้องค์การสหประชาชาติในกรอบของฉันทามติว่าด้วยเป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (UNSustainable Development Goals) และต่อข้อตกลงแห่งกรุงปารีส (Paris Agreementค.ศ. 2015)
ทั้งนี้ประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าถ่านหินจากต่างประเทศเกือบ 100% นอกจากนั้นยังต้องนำเข้าก๊าซและน้ำมันธรรมชาติ อีกประมาณ 80% เพื่อมาผลิตไฟฟ้าเป็นหลัก ซึ่งหมายถึงประเทศไทยต้องจ่ายค่าวัตถุดิบเชื้อเพลิงนำเข้าทั้ง 3 ชนิด ปีๆ หนึ่งร่วมล้านล้านบาท ส่งผลให้ไทยเราอยู่ในฐานะหมิ่นเหม่ต่อความมั่นคงทางพลังงาน เพราะต้องพึ่งต่างประเทศ ขาดความเป็นตัวของตัวเอง และมีผลให้ต้นทุนการผลิตต่างๆ และการบริการต่างๆ มีมูลค่าสูงกว่าหลายๆ ประเทศ และกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลก และแม้กระทั่งในตลาดภายในของไทย
และฉะนั้น การมุ่งสู่นโยบายและมาตรการว่าด้วยพลังงานหมุนเวียนและทดแทนนี้ มิใช่เป็นเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นในยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หากแต่เป็นเรื่องที่ประชาคมโลกได้พูดจากันมาอย่างน้อยก็ร่วม 30 ปีแล้ว ซึ่งก็หมายความว่าองค์กรทางด้านพลังงานของไทยน่าจะได้เตรียมตัวเตรียมใจมาตั้งแต่ต้นเพราะจะมองไปที่แค่รัฐบาลนั้นๆ ก็จะดูกระไรอยู่จะกลายเป็นการโยนบาป หรือการโยนความรับผิดชอบไปให้แต่ฝ่ายการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว ก็ไม่เป็นการสมควรนัก เพราะองค์กรที่เกี่ยวกับเรื่องพลังงาน และการไฟฟ้านั้นเป็นรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการบริหาร มีผู้ทรงคุณวุฒิ มีผู้ที่รอบรู้ และมีทั้งนักการเงิน และนักกฎหมาย ที่จะต้องเจรจากับต่างประเทศอยู่ตลอดเวลาก็สมควรที่จะต้องรับผิดชอบด้วยตัวของตัวเอง มิใช่มัวรอแต่จะให้ฝ่ายการเมือง หรือรัฐบาลนั้นๆ สั่งการมา
แม้กาลเวลาได้ล่วงเลยมาหลายสิบปี แต่การมุ่งหน้าสลัดสังคมไทยออกจากถ่านหิน ก๊าซ และน้ำมันธรรมชาติ เพื่อมุ่งไปสู่ทิศทางของพลังงานหมุนเวียนและทดแทนนั้น กลับดูแสนจะเชื่องช้า เนื่องจากขาดความกระตือรือร้น และขาดความเอาใจใส่จากหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบ
ในเดือนพฤศจิกายน 2564 นี้ จะมีการประชุมสุดยอดว่าด้วยเรื่องโลกร้อน ที่นครเอดินเบอระ สกอตแลนด์ สหราชอาณาจักร ก็จะเป็นโอกาสที่รัฐบาลไทยโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้แถลงอย่างแน่ชัด จริงจัง กำหนดระยะเวลา ทยอยการยกเลิกการใช้ถ่านหิน ก๊าซ และน้ำมันธรรมชาติ โดยคู่ขนานกันก็จะกำหนดวันเวลาเดือนปีที่ยานยนต์ทุกชนิดจะใช้ระบบไฟฟ้า และเครื่องมือเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดจะเป็นเครื่องมือที่ใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า และไปกับความยั่งยืนของสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ซึ่งรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็น่าจะประกาศออกมาว่า ประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะจัดตั้งวิสาหกิจรัฐใหม่ เพื่อมาทดแทนการปิโตรเลียมแห่งชาติ โดยเน้นการบริหารและใช้งานพลังงานหมุนเวียนและทดแทนแห่งชาติเป็นสำคัญ
หากเป็นเช่นนั้นแล้ว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะสามารถประกาศได้อย่างภาคภูมิใจว่า รัฐบาลไทย ภาคเอกชน และแวดวงวิชาการวิจัยค้นคว้าของไทย กำลังร่วมมือกันเพื่อเปลี่ยนรูปโฉมเศรษฐกิจประเทศไทยให้เป็นสีเขียว โดยจะมุ่งหมายให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีการหมุนเวียนปรับเปลี่ยนการใช้ได้อย่างต่อเนื่อง (Circular)
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี