ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. …ซึ่งมีทั้งหมด 4 ร่าง ได้แก่
ร่างของคณะรัฐมนตรี (ครม.)
ร่างของนายสิระ เจนจาคะ สส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)
ร่างของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ (ปช.)
ร่างของนายสุทัศน์ เงินหมื่น สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)
ที่ประชุมสภาลงมติวาระ 1 รับหลักการ โดยที่ประชุมเห็นชอบทั้ง 4 ฉบับ พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ จำนวน 25 คน แปรญัตติ 7 วัน โดยใช้ร่างของรัฐบาลเป็นร่างหลักต่อไป
1. การอุ้มหาย อุ้มฆ่า ทรมาน เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้
แม้จะไม่เจอกับตัว หรือเจอกับคนในครอบครัวและคนที่ตนเองรัก ก็ย่อมตระหนักได้ถึงความโหดร้าย
แต่คนในสังคมบางจำพวก พยายามเอาเรื่องนี้มาบิดเบือนเป็นเครื่องมือโจมตีทางการเมืองแบบฝักฝ่าย โดยมักจะเอาไปโจมตีเผด็จการทหารบ้าง ฝ่ายที่ไม่เป็นประชาธิปไตยบ้าง หรือแม้แต่นำมาโจมตีรัฐบาลปัจจุบันโดยกลุ่มแนวร่วมม็อบสามนิ้ว
อาจจะถูกหลอกลวง ถูกปั่นหัว จนลืมไปว่า การอุ้มหายที่อุกอาจ ร้ายแรง ส่วนใหญ่ที่พูดกันนั้น เกิดขึ้นในยุคที่บ้านเมืองอ้างว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นกรณีอุ้มหายทนายสมชาย อุ้มหายบิลลี่ อุ้มฆ่านายเอกยุทธ หรือแม้แต่กรณีนายวันเฉลิมที่เกิดในยุคนี้ แต่ก็หายนอกราชอาณาจักรไทย
ยิ่งไปกว่านั้น ทำราวลืมกันไปเลยว่า ในยุครัฐบาลทักษิณ เคยดำเนินนโยบายสงครามยาเสพติด แล้วมีการอุ้มฆ่าคนที่มีรายชื่อในบัญชีดำ (ซึ่งขึ้นบัญชีอย่างหละหลวม คนจำนวนมากไม่ใช่พ่อค้ายา) หายและตายไปมากกว่า 2 พันศพในช่วงระยะเวลาแค่ 3 เดือน
แต่น่าแปลกใจ คนที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ก็มักจะเอาแต่ปั่นหัวเด็กรุ่นใหม่ให้เกิดความรู้สึกเกลียดชังเอาแต่กับรัฐบาลปัจจุบันบ้างกับสถาบันอื่นที่อยู่เหนือการเมืองบ้าง เพราะหวังเสี้ยมให้ผลประโยชน์ทางการเมืองกับฝ่ายตนเอง โดยละเลยและแกล้งโง่ ไม่สนใจการอุ้มฆ่ามากมายที่เกิดขึ้นในสมัยที่พรรคพวกตัวเองเป็นรัฐบาล
2. กรณีทนายสมชาย นีละไพจิตร
กรณีอุ้มหายทนายสมชาย ในยุครัฐบาลทักษิณ เป็นกรณีที่โด่งดัง อุกอาจ และเป็นแรงผลักดันให้นำมาสู่การผลักดันกฎหมายป้องกันการอุ้มหายและทรมานในปัจจุบัน
สมชาย นีละไพจิตร เป็นอดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ว่าความให้ผู้ต้องหาคดีในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในยุคนั้น และรัฐบาลทักษิณก็ใช้นโยบายความรุนแรงในพื้นที่
12 มีนาคม 2547 ทนายสมชายเดินทางไปโรงแรมชาลีน่า จากนั้นเดินทางกลับ ระหว่างขับรถยนต์ส่วนตัวโดยใช้เส้นทางถนนรามคำแหง มีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวน 5-6 คน ขับรถยนต์ติดตาม ชนท้ายรถทนายสมชาย เมื่อทนายสมชายหยุดรถเพื่อลงมาพูดคุย กลุ่มชายฉกรรจ์จู่โจม ผลักตัวของทนายสมชายให้เข้าไปในรถยนต์ของพวกตน แล้วขับรถพาตัวของทนายสมชายหลบหนีไป
คนร้ายหนึ่งคน เข้าไปในรถของทนายสมชาย และขับตามไป
จากนั้น ไม่มีใครเห็นทนายสมชายอีกเลย
พอเกิดเรื่อง ข่าวกระพือสะพัด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี(ยศและตำแหน่งขณะนั้น)
ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “นายสมชายนีละไพจิตร ทนายความผู้ต้องหาคดีเจไอ ไม่ได้หายตัวไปไหน เพียงแต่มีปัญหาทะเลาะกับภรรยา จึงหลบมาอยู่กรุงเทพฯ และตัดขาดการติดต่อจากคนอื่น”
ในยุครัฐบาลทักษิณได้สร้างปัญหาสามจังหวัดชายแดนใต้ เกิดการอุ้มหาย การใช้ความรุนแรงมากมาย ในยุคนั้น ปี 2547 ทนายสมชายเป็นทนายคดีจับผู้ก่อการร้ายเจมาห์ อิสลามิยาห์(เจไอ) และพวก ตลอดจนเป็นแกนนำในการล่ารายชื่อชาวบ้านเพื่อให้ยกเลิกกฎอัยการศึกที่ประกาศใช้ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้
ทนายสมชายเป็นคนแฉว่า ผู้ต้องสงสัยคดีความมั่นคงรับสารภาพเพราะถูกตำรวจทรมาน ใช้ไฟฟ้าช็อต เอาเท้าเหยียบหน้า จับมัดมือแล้วแขวนคอ กรอกปัสสาวะ อุจจาระใส่ปาก และทุบตีตามร่างกาย
สำหรับคดีอุ้มหายทนายสมชาย ได้มีการสืบสวนและจับกุมดำเนินคดีตำรวจ 5 นาย ในข้อหาลักพาตัว
พนักงานสอบสวน พบว่าการใช้งานโทรศัพท์ของตำรวจทั้ง 5 นาย น่าจะมีการติดตามทนายสมชายตั้งแต่เช้าวันที่ 12 มีนาคม ตั้งแต่ 09.00-20.35 น. และจากการข้อมูลบันทึกการใช้เบอร์โทรศัพท์ที่สามารถระบุพิกัดสถานที่โทรเข้า-ออกได้ในทุกๆ ครั้ง แต่ทั้งหมดได้ให้การปฏิเสธ
12 ม.ค. 2549 ศาลอาญาพิพากษาจำคุก นายตำรวจคนหนึ่ง เป็นเวลา 3 ปีเพียงคนเดียว ในข้อหาข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใดโดยใช้กำลังประทุษร้าย ขณะที่ผู้ต้องหาที่เหลือให้ยกฟ้อง เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่เพียงพอ
11 มี.ค. 2554 ศาลอุทธรณ์พิจารณายกฟ้องนายตำรวจรายดังกล่าว เนื่องจากไม่มีพยานเห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลย
เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2558 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องจำเลยซึ่งเป็นตำรวจทั้ง 5 คน ระบุว่า พยานบุคคลให้การสับสน และพยานเอกสารขาดความสมบูรณ์
คดีหมายเลขดำ ด.1952/2547
จำเลย ประกอบด้วย พ.ต.ต.เงิน ทองสุก อดีต สว.กอ.รมน.ช่วยราชการกองปราบปราม (หายสาบสูญ), พ.ต.ท.สินชัย นิ่มปุญญกำพงษ์ อายุ 46 ปี อดีตพนักงานสอบสวน กก.4 ป.,จ.ส.ต.ชัยเวง พาด้วง อายุ 44 ปี อดีต ผบ.หมู่งานสืบสวน แผนก 4 กก.2 บก.ทท.,ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต อายุ 42 ปี อดีตเจ้าหน้าที่ธุรการ กก.4 ป. และ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน อายุ 49 ปี อดีตรอง ผกก.3 ป. ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น นภันต์วุฒิ ดำรงตำแหน่ง พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ ผกก.ฝอ.สพ. จำเลยที่ 1-5
ข้อหาในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพโดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 และ 391
ประเด็นพยานบุคคล ทั้งประจักษ์พยานและพยานแวดล้อม โดยสรุป ศาลระบุว่า พยานทั้งสามปาก ซึ่งเป็นผู้เห็นเหตุการณ์เบิกความไม่ตรงกันในชั้นสอบสวนและชั้นศาล โดยศาลเห็นว่า คำเบิกความในชั้นศาลนั้นดีที่สุด เพราะเปิดเผยต่อหน้าศาล ขณะที่ชั้นสอบสวน เป็นการกระทำลับหลังจำเลย ทั้งนี้ แม้มีการให้การโดยกล่าวถึงจำเลยที่ 1 ทุกครั้ง แต่ไม่เท่ากับว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้าย
กรณีข้อมูลและพิกัดการใช้โทรศัพท์มือถือในวันเกิดเหตุของจำเลยทั้ง 5 คน ซึ่งมีการโทรติดต่อกันถึง 75 ครั้ง และเมื่อนำมาเทียบกับข้อมูลพิกัดการใช้โทรศัพท์มือถือของสมชายตลอดทั้งวัน พบว่า พิกัดของจำเลยทั้ง 5 คนเป็นไปในลักษณะเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของสมชายตลอด ศาลระบุว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่พยานโจทก์ไม่ได้บันทึกได้ด้วยตนเอง แต่ได้รับข้อมูลจากบุคคลและหน่วยงานอื่น เป็นพยานบอกเล่า ต้องนำสืบให้กระจ่างว่ามีน้ำหนักน่าเชื่อถือได้
ประกอบกับเอกสารดังกล่าวไม่ใช่ต้นฉบับ แต่เป็นสำเนาที่ถ่ายมาโดยไม่มีเจ้าหน้าที่ลงนามว่าถูกต้อง และไม่มีการนำเจ้าหน้าที่มาเบิกความ พยานเอกสารจึงพิรุธบกพร่อง แม้เอกสารจะมีฝ่ายกฎหมายของบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ลงนาม แต่ฝ่ายกฎหมายให้การว่าไม่ได้เป็นคนจัดทำเอกสาร และไม่ทราบข้อมูลว่าถูกต้องหรือไม่ เอกสารที่นำเสนอจึงไม่สมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ไม่อาจรับฟังได้
นอกจากนี้ ยังไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าจำเลยทั้ง 5 เกี่ยวข้องกับการปล้นทรัพย์และการหายตัวไป ทั้งยังไม่พบลายนิ้วมือ เส้นขน เส้นผมของจำเลย
3.การอุ้มหาย ทรมาน อุ้มฆ่า ไม่ควรจะเกิดกับใครทั้งนั้น
แต่พวกอีแร้งการเมืองที่หากินกับศพ ก็อย่าได้ดูถูกสติปัญญาและความจำของผู้คนมากนัก ด้วยการพยายามบิดเบือนราวกับว่าเหตุการณ์อุ้มฆ่านั้น เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันมากที่สุด
ตรงกันข้าม ในยุคปัจจุบัน กลับเป็นยุคที่ผลักดันจนสภารับร่างกฎหมายฯ ผ่านวาระ 1 เรียบร้อยแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี