ในช่วง 16-17 ปีที่ผ่านมา สังคมไทยได้ลิ้มรสการปฏิวัติรัฐประหารถึง 2 ครั้ง 2 ครา แถมยังได้กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีก 2 ฉบับ แต่ที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือ ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นบุคคลคนเดียวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 ครั้ง จาก 2 กระบวนการ คือ 1.ผ่านการปฏิวัติรัฐประหาร และ 2.ผ่านการเลือกตั้งโดยทางอ้อม (ไม่โยงใยกับประชาชนพลเมืองโดยตรง) ก็จัดได้ว่าการเมืองไทยก็มีชีวิตชีวาไม่น้อยทีเดียว เพราะทั้งบุคลิกของตัวนายกรัฐมนตรี รวมทั้งพฤติกรรมของนักการเมือง และความรวดเร็วในการสื่อสารของสื่อ ตามแบบฉบับและสื่อสมัยใหม่ที่เรียกว่า โซเชียลมีเดีย
จึงกล่าวได้ว่า ในวันนี้ประชาชนพลเมืองของไทยโดยทั่วไป ต่างรู้เรื่องการเมือง เข้าใจเรื่องการเมือง และเป็นพลังทางการเมืองที่บรรดาพรรคการเมืองและนักการเมืองจะทำเพิกเฉย ไม่รู้ไม่เห็น ไม่สนใจไยดี อีกต่อไปไม่ได้ ซึ่งก็แน่นอนว่าในอนาคตอันใกล้ การเมืองการปกครองไทยจะยิ่งมีการกระจายอำนาจ ลดการกระจุกตัวของอำนาจอยู่ที่ส่วนกลางจากเดิมอยู่ที่ราชการเป็นหลัก จะเปลี่ยนไปเป็นการกระจายลงไปที่ท้องถิ่น ชุมชน ภาคประชาสังคม และภาควิชาชีพต่างๆ มากยิ่งขึ้น สังคมประชาธิปไตยของไทยก็จะเบิกบาน
สะพรั่งสะพัดยิ่งขึ้น นอกจากนั้น คำว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ก็จะไม่เป็นเพียงแค่คำขวัญ หรือแค่วาทะทางการเมือง ประโยคนี้จะเป็นจริงเป็นจัง และจับต้องได้มากยิ่งขึ้น เพราะประชาชนพลเมืองจะสามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการการคิด การตัดสินใจ และการติดตามตรวจสอบ และการได้รับประโยชน์จากการบริการของภาครัฐได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้บรรดาพรรคการเมืองก็มีภาระหน้าที่ในการที่จะให้ได้มาซึ่งการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยให้มาก กว้างขวาง และลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งคือการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะการจำกัด และลิดรอนของปวงชนชาวไทย
แต่อย่างไรก็ตาม จากนี้ไปจนถึงช่วง 2-3 ปีข้างหน้าสังคมไทยก็คงจะยังไม่ได้เห็นการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีความเป็นสากล และเพื่อศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของปวงชนชาวไทยอยู่ดี นั่นก็เพราะบรรดาพรรคการเมืองต่างยังคงสาละวนอยู่กับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในต้นปีหน้า หลังจากที่วาระของรัฐสภาและรัฐบาลหมดลงหรือครบเทอม 4 ปี
หลังจากนั้น สังคมไทยจะไปฝากความหวังไว้กับพรรคการเมืองต่างๆ และรัฐสภาและรัฐบาลชุดใหม่ได้
ไม่มาก ก็เพราะบุคลากรส่วนใหญ่ในวงการเมืองก็ยังเป็นคนหน้าเดิมๆ ซ้ำๆ ซากๆ มีความชำนาญการทางด้านการเลือกตั้งเป็นหลัก ในขณะที่มีความคิด และจิตสำนึกเกี่ยวกับความเป็นประชาธิปไตย เพียงแค่การมีการแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองในการเลือกตั้งโดยประชาชนพลเมืองเท่านั้นไม่ได้มีความคิดอ่าน ไม่มีอุดมการณ์จะมุ่งเสริมสร้างสังคมไทยให้เป็นราชอาณาจักรไทยที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ก็เท่ากับว่าการเมืองไทยที่มี 2 ขั้วในวันนี้และวันข้างหน้า ต่างก็เป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่มุ่งใฝ่หาอำนาจด้วยการผ่านกระบวนการการเลือกตั้งด้วยกันทั้งสองฝั่งเท่านั้น มิได้มีฝ่ายใดเป็นผู้ปฏิรูป หรือเป็นผู้ขับเคลื่อนให้สังคมไทยได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยได้เต็มรูปแบบ
กล่าวคือ สังคมไทยจะไปฝากความหวังในการจะขับเคลื่อนประชาธิปไตย ไว้กับขั้วการเมืองที่ป่าวประกาศตีตราตนเองว่า เป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” อย่างพรรคเพื่อไทย พร้อมกับแนวร่วมคือ พรรคก้าวไกล ไม่ได้เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ขั้วนี้ต้องการเพียงแค่การชนะการเลือกตั้ง มีเสียงข้างมาก เพื่อตอบสนองผู้นำของเขาคือ นายทักษิณ ชินวัตร ให้ได้เดินทางกลับสู่ประเทศไทย อย่างที่กฎหมายไม่สามารถเข้าไปแตะต้องได้ ดังนั้นชัยชนะการเลือกตั้งในสายตาของฝ่ายนี้ จึงเป็นแค่เครื่องมือเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ของคนคนเดียว มิได้มีอะไรที่จะตอบสนองผลประโยชน์ของคนไทยโดยรวม
ในขณะเดียวกัน อีกขั้วหนึ่งที่ถูกเรียกขานตามความประพฤติว่าเป็น “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” เนื่องจากยังต้องการมุ่งเน้นการกระจุกตัวของอำนาจให้อยู่ที่ฝ่ายข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือน ซึ่งจัดได้ว่าเป็นขั้วของฝ่ายปกครองในเครื่องแบบ ที่คุ้นเคยและรู้สึกสบายอกสบายใจกับการมีอำนาจสั่งการไปยังประชาชนพลเมือง แทนที่จะยกระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนพลเมืองในความเป็นไปของประเทศ ก็ยิ่งเป็นฝ่ายที่ไม่สามารถฝากความหวังให้คัดท้ายนาวาไทยรุดหน้าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยแท้ๆ ได้เลย
เมื่อสังคมไทยไม่สามารถพึ่งพาขั้วการเมืองทั้ง 2 ได้แล้ว ภาระของการขจัดสาระเนื้อหาของกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เป็นอุปสรรคต่อการเป็นสังคมประชาธิปไตยของไทย และในขณะเดียวกันก็บรรจุสาระเนื้อหาในกฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อการมีส่วนร่วมของประชาชนพลเมือง เพื่อแสดงออกของการเป็นเจ้าของและอำนาจอธิปไตยของประเทศโดยประชาชนพลเมืองก็จะต้องตกอยู่ฝ่ายหัวก้าวหน้า ฝ่ายประชาธิปไตย ที่แท้จริง
ก็เท่ากับว่าฝ่ายหัวก้าวหน้าแม้จะยังมีจำนวนน้อยก็ต้องไม่ย่นย่อท้อถอย ไม่หมดกำลังใจ แต่ต้องตั้งมั่น ขยายแนวร่วมในการขับเคลื่อนเพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทย เพราะไม่มีสาเหตุใดที่ปวงชนชาวไทยที่จะไม่เป็น “ไท” อย่างแท้จริง
ทั้งนี้ก็หวังด้วยว่าข้าราชการหัวก้าวหน้า นักการเมืองและพรรคการเมืองที่มีหัวก้าวหน้า จะกล้าหาญชาญชัยที่จะแสดงตัวออกมา แล้วมาร่วมกันในการปลดแอกปวงชนชาวไทยจากอาณัติของอนุรักษ์นิยม อำนาจนิยม อัตตานิยม ธนานิยม และประชานิยม
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี