ในสังคมประชาธิปไตยทั่วโลก เรามักจะเห็นความเป็นประชาธิปไตยได้จากการที่สังคมนั้นมีหลายๆ พรรคการเมือง เสนอตัวเข้าร่วมการเลือกตั้ง และมีการลงคะแนนเสียงโดยประชาชนพลเมือง เพื่อให้ผู้ชนะไปเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา ไม่ว่าจะโดยพรรคเดียวหรือหลายๆ พรรคร่วมกันจัดตั้งคณะรัฐบาล และกำกับการดำเนินนโยบายและการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อตอบสนองความผาสุกและความปลอดภัยของประชาชนพลเมือง โดยระบอบประชาธิปไตยย่อมจะมีระบบการตรวจสอบ และถ่วงดุลอำนาจ เพื่อป้องกันมิให้มีการใช้อำนาจโดยมิชอบของฝ่ายบริหาร (เผด็จการรัฐสภา)
ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นแค่เพียงรูปแบบเท่านั้น ในขณะที่ความสำเร็จของความเป็นประชาธิปไตยของประเทศต่างๆ นั้น ขึ้นอยู่กับคุณภาพของนักการเมือง และผู้บริหารประเทศต่างๆ ไปจนถึงการรอบรู้ ตื่นตัว ตื่นใจ และการเข้าถึงซึ่งข้อมูลข่าวสาร และการมีส่วนร่วมในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น และการตัดสินใจของประชาชนต่างหาก
โดยในชีวิตของการเป็นสังคมประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทยในช่วง 90 ปีที่ผ่านมา สังคมไทยเรามักจะไปให้ความสำคัญกับโครงสร้าง และรูปแบบของการเป็นสังคมประชาธิปไตยเป็นอย่างมาก ดูได้จากเมื่อใดที่มีประเด็นปัญหาเกิดขึ้น เราก็จะมุ่งไปที่การปรับปรุง ปฏิรูป เปลี่ยนแปลงรูปแบบและโครงสร้าง ยกตัวอย่างเช่น รัฐสภาควรจะประกอบด้วย สภาเดียว หรือ 2 สภา อันได้แก่ สภาสูง (วุฒิสภา) และสภาล่าง (สภาผู้แทนราษฎร) ไปจนถึงความมากน้อยของอำนาจของสภาสูง รวมทั้งการได้มาซึ่งสภาสูง ว่าจะมาจากการแต่งตั้ง หรือการเลือกตั้ง ไปจนถึงการมีระบบศาลยุติธรรมเดียว คือศาลฎีกาสูงสุด ที่จะปฏิบัติหน้าที่เป็นศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง หรือศาลเฉพาะกิจอื่นๆ ตามกรณีและความจำเป็น โดยไม่มีการตั้งศาลเฉพาะกิจแยกออกมาเป็นศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลปกครอง เป็นต้น อีกทั้งองค์กรอิสระเพื่อการตรวจสอบ ก็อาจจะมีแค่สำนักงานปราบปรามการทุจริตมิชอบ และไม่จำเป็นต้องมีสำนักงานผู้ตรวจราชการแผ่นดิน ให้มันซับซ้อนโดยใช่เหตุ
ทั้งนี้ก็ต้องไม่ลืมว่า สังคมประเทศต่างๆ สามารถมีรูปแบบ และโครงสร้างประชาธิปไตยที่แตกต่างกันออกไป โดยไม่ได้มีรูปแบบ และโครงสร้างใด ที่ดีที่สุด เพราะมันขึ้นอยู่กับการยอมรับและการปฏิบัติกันตามครรลองให้ถูกต้องและชอบธรรม โดยหลายๆ ประเทศนั้นมีระบบรัฐสภาเดียว มีผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งด้วยระบบบัญชีรายชื่อพรรคเท่านั้น ในขณะที่บางประเทศกลับเลือกที่จะมีระบบ 2 สภา โดยสภาสูงมีทั้งที่มาจากการเลือกตั้ง และการแต่งตั้ง เช่นที่ประเทศราชอาณาจักรอังกฤษ หลายๆ ประเทศก็ไม่ได้มีการจัดตั้งศาลเฉพาะกิจ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญแยกออกมาจากศาลฎีกาสูงสุด
นอกจากนั้นแล้ว สภาขุนนางของอังกฤษซึ่งเป็นสภาสูง นั้นก็มาจากการแต่งตั้งล้วนๆ ซึ่งประกอบด้วยผู้มีประสบการณ์ และมีผลงานในสาขาอาชีพต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม สมาชิกสภาสูงของเขาต่างคงความเป็นนักประชาธิปไตยกันทุกคน ดูได้จากที่สภาสูงอังกฤษสามารถทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบตามครรลองประชาธิปไตย ในขณะที่สมาชิกสภาสูงของหลายๆ ประเทศ เช่นที่ญี่ปุ่น หรือเบลเยี่ยม ที่มาจากการเลือกตั้ง (แตกต่างจากการแต่งตั้งของอังกฤษ) ก็สามารถทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบในฐานะเป็นนักประชาธิปไตยได้เช่นกัน ในขณะที่ศาลฎีกาก็สามารถทำหน้าที่เป็นศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้ (เมื่อมีเรื่องมีราวหรือเมื่อคราวจำเป็น) และต่างก็ปฏิบัติตนตามครรลองประชาธิปไตย และกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างเต็มความสามารถด้วยความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ข้างต้น คงพอจะสามารถพิสูจน์ และยืนยันได้ว่า รูปแบบและโครงสร้างในหลายๆ ประเทศนั้นอาจจะไม่ได้เป็นประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ เพราะสมาชิกบางส่วนไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง หรือการที่ศาลยุติธรรมมาจากศาลเดียว แต่ทำหน้าที่ต่างๆ ได้หลากหลาย แต่ที่ประเทศเหล่านั้นเจริญก้าวหน้า และมีความเป็นประชาธิปไตย ก็เพราะผู้ที่อยู่ในตำแหน่งการเมืองต่างรู้จักซึ่งภาระหน้าที่ของตน และมีความรับผิดชอบ มีจิตสำนึก มีคุณธรรมและจริยธรรม และทั้งหมดก็รู้เรื่องประชาธิปไตย มีความเป็นประชาธิปไตยทั้งในสายเลือด และในจิตวิญญาณ หรือนัยหนึ่งก็คือใช้คุณภาพของคนเป็นที่ตั้ง เพื่อเป็นผู้เคลื่อนไหวขบวนการประชาธิปไตยให้ก้าวหน้า
ที่กล่าวมานี้ แสดงให้เห็นว่า รูปแบบ และโครงสร้างนั้นมีความสำคัญระดับหนึ่ง หากแต่รูปแบบ และโครงสร้างจะต้องมีคนที่มีคุณภาพ มีจิตวิญญาณประชาธิปไตย มาทำการบริหาร ขับเคลื่อนระบบให้ก้าวไปข้างหน้า
ฉะนั้น ในสังคมไทยเรา ก็ควรเลิกเสียเวลาถกเถียงกันในเรื่องโครงสร้าง และรูปแบบกันเสียที แต่หากยังอยากจะเสียเวลา ก็ต้องจัดให้มีการดำเนินการปลูกฝังจิตสำนึก องค์ความรู้และทักษะของความเป็นพลเมืองประชาธิปไตยควบคู่กันไปด้วย เพื่อที่จะให้ประชาชนได้เป็นพลเมืองประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ และจะสามารถควบคุม กำกับ และตรวจสอบ นักการเมือง นักปกครองประชาธิปไตยให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนั้น สังคมไทยยังจะต้องมีการจัดวางระบบคัดกรองผู้ที่จะอาสาสมัครเข้ามาทำหน้าที่อาชีพนักการเมือง เพื่อรับใช้ประเทศชาติด้วยว่า เขาเหล่านั้นจะต้องเป็นนักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ทั้งด้วยองค์ความรู้ ทั้งด้วยประสบการณ์การทำงาน และความเชื่อมั่น และความซื่อตรง ซื่อสัตย์ ต่อระบบประชาธิปไตย
ในการนี้หมายความว่า การที่ผู้ที่จะลงสมัครเลือกตั้งทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ จะมีเพียงคุณวุฒิของการเป็นลูกหลาน หรือสมาชิกในครอบครัวของราชวงศ์การเมืองท้องถิ่น (Local or Provincial Political Dynasty) นั้นยังไม่เป็นการเพียงพอ หากแต่จะต้องมีชีวิตที่มีสาระเนื้อหา ที่แสดงออกซึ่งขีดความสามารถในการรับผิดชอบ และการมีภารกิจที่บ่งบอกความเชื่อถือในเรื่องการเป็นประชาธิปไตยของสังคมไทย หรือมีประสบการณ์ชีวิตและการงานที่รับใช้สังคมเพื่อความถูกต้อง ยุติธรรม และเพื่อความเสมอภาค ทัดเทียมกัน เป็นต้น จึงจะมีคุณสมบัติในการเสนอตัวมาเป็นผู้รับใช้ประชาชน
ณ วันนี้ ไทยเรามีสถาบันอุดมศึกษากระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ มีสถานีวิทยุโทรทัศน์ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศเช่นกัน อีกทั้งสังคมก็มีระบบการสื่อสารสมัยใหม่ โดยเฉพาะที่ผ่านมือถือ เพราะฉะนั้นการเสริมสร้างองค์ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมุมต่างๆ ของสังคมประชาธิปไตยนั้น มิใช่เรื่องยากลำบาก แต่ขึ้นอยู่กับวิธีการบริหารจัดการ ซึ่งหากกระทำได้สำเร็จ เราก็จะได้เห็นพลเมืองประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง แล้วก็จะได้เห็นบุคลากรของบ้านเมืองที่อาสาเข้ามารับใช้ประเทศชาติ สามารถที่จะกระทำหน้าที่รับผิดชอบได้อย่างสง่างาม เป็นผู้แทนและผู้รับใช้ประเทศชาติและประชาชนพลเมืองอย่างแท้จริง
ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะลดการอภิปรายโต้เถียงกันในเรื่องของโครงสร้าง และรูปแบบ แล้วหันหน้าเข้าหากันในการเสริมสร้างความเป็นพลเมืองประชาธิปไตย และความเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยกันเสียที เพราะที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่ว่าระบบ กติกา จะมีความเป็นประชาธิปไตยแค่ไหน หากปราศจากผู้ขับเคลื่อนระบบที่มีจิตวิญญาณแห่งประชาธิปไตยแล้ว ระบบนั้นก็เปล่าประโยชน์
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี