เมื่อวันอังคารที่ 30 สิงหาคม 2565 โลกได้สูญเสียนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ไปอีก 1 คน นั่นคือ นายมิคาเอล กอร์บาชอฟ อดีตผู้นำสหภาพโซเวียต และผู้นำค่ายคอมมิวนิสต์ โดย นายมิคาเอล กอร์บาชอฟ ได้จากไปอย่างสงบด้วยอายุ 91 ปี ที่กรุงมอสโก
หากจะกล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของนายมิคาเอลกอร์บาชอฟ ก็พอจะยกเรื่องเด่นๆ ได้ดังนี้
1. การปลดปล่อย หรือปลดแอกของชาวโซเวียต (ซึ่งประกอบด้วย ชนชาติพันธุ์รัสเซีย ยูเครน เบลารุส อาร์เมเนีย กลุ่มบอลติก และกลุ่มเอเชียกลางต่างๆ) ออกจากอาณัติของเผด็จการพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต ให้เป็นประชาชนพลเมืองธรรมดาๆ ที่มีสิทธิเสรีภาพในการดำรงชีวิต และการเลือกวิถีชีวิต
2. การปลดปล่อยให้บรรดาประเทศในภูมิภาคยุโรปกลาง และยุโรปตะวันออก ออกจากอาณัติและการครอบงำของสหภาพโซเวียต และลัทธิคอมมิวนิสต์
3. การยุติสภาวะสงครามเย็น ซึ่งเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างโลกเสรี กับโลกคอมมิวนิสต์ โดยเริ่มตั้งแต่การทำลายกำแพงเบอร์ลิน รวมทั้งการไม่คัดค้านที่จะให้เยอรมนีตะวันออกที่จะกลับไปรวมกับฝั่งตะวันตก จนกลายเป็นประเทศเยอรมนีเดียวกันภายใต้ระบอบการปกครองเสรีประชาธิปไตย การถอนกำลังทหารโซเวียตออกจากประเทศเครือบริวารทั้งหลาย และไม่ดึงดัน หรือจะเหนี่ยวรั้งการคงอิทธิพลของสหภาพโซเวียตในประเทศเครือบริวารอีกต่อไป
4. การเจรจาหาลู่ทางที่จะอยู่ร่วมกันระหว่างฝ่ายโลกเสรี กับฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์ในยุคหลังสิ้นสุดสงครามเย็นโดยเฉพาะการเจรจาเพื่อลดอาวุธนิวเคลียร์ และขีปนาวุธระหว่างสหภาพโซเวียต กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการลดความตึงเครียด สภาวะการเผชิญหน้า และความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจต่อกันและกันของทั้งสองฝ่าย
5. นอกจากการให้คำมั่นสัญญาที่จะยอมปลดปล่อยให้ประเทศในเครือบริวารไปในทิศทางที่ต่างประสงค์กันเอง และการยอมรับให้เยอรมนีหลังรวมประเทศ สามารถคงสถานะการเป็นสมาชิกองค์การนาโตต่อไปได้ โดยแลกกับคำมั่นสัญญาจากฝ่ายสหรัฐฯ และฝ่ายโลกเสรีว่า จะต้องไม่มีการขยายจำนวนสมาชิกองค์การนาโตอีกแต่อย่างใด
ทั้งหมดนี้ นายมิคาเอล กอร์บาชอฟ ได้แสดงความเป็นรัฐบุรุษที่รักษาคำมั่นสัญญา สะท้อนความเป็นผู้รัก และใฝ่หาสันติภาพให้กับโลกกว้างอย่างไม่ลังเลใจ หรือเป็นที่สงสัยแต่อย่างใด ซึ่งความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ หรือผู้นำหนึ่งใด ก็คือการมีวิสัยทัศน์ว่า ขอบเขตอยู่ที่ไหน อะไรนั้นควรพอเพียงแล้ว ฉะนั้นก็ต้องไม่ดึงดัน แล้วก็ปรับเปลี่ยนปรับตัวไปให้เหมาะสมแก่สภาวการณ์ของโลก
ประวัติศาสตร์โลกจึงจารึกไว้ว่า นายมิคาเอลกอร์บาชอฟ ได้ปลดแอกชาวโซเวียต ชาวยุโรปกลาง และชาวยุโรปตะวันออก ออกจากอำนาจเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ ส่งผลให้ผู้คนมีสิทธิเสรีภาพ เสมือนกับการเลิกทาส แล้วจะมีอะไรเล่าที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าการปลดปล่อยให้ผู้คนกลับมามีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงสถานะการเป็นศัตรูกันมาสู่การเป็นมนุษย์ร่วมโลก
แต่อย่างไรก็ตาม ความดีงามต่างๆ ของนายมิคาเอล กอร์บาชอฟ ที่กล่าวมานั้น มิได้จะมีผู้เห็นดีเห็นงามไปด้วยกันทั้งหมด เพราะยังมีกลุ่มชนโซเวียตกลุ่มหนึ่ง (ต่อมาได้กลายเป็นกลุ่มชนชาติพันธุ์รัสเซีย) ที่มีความเสียดาย เสียอกเสียใจ อาลัยอาวรณ์ กับการจากไป หรือการล่มสลายของสหภาพโซเวียต (หรือนัยหนึ่งความยิ่งใหญ่ในระดับโลกของสหภาพโซเวียต) จึงทำการกล่าวหาว่า นายมิคาเอล กอร์บาชอฟ นั้นเป็นต้นเหตุของการล่มสลายของสหภาพโซเวียต และได้ก่อตั้งแนวคิด และเริ่มกระบวนการที่จะรื้อฟื้นความยิ่งใหญ่ของสหภาพโซเวียตแต่อดีตขึ้นมาในรูปแบบใหม่ ภายใต้การนำพาของชาติพันธุ์ชาวรัสเซีย (ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่และเป็นแกนหลักของสหภาพโซเวียตในอดีต) โดยผู้คนกลุ่มนี้คิดคำนึงแต่สถานะอันยิ่งใหญ่ของสหภาพโซเวียตแต่อดีต โดยไม่คิดคำนึงว่า ประชาชนพลเมืองที่เป็นส่วนหนึ่งของโลกจำนวน 300-400 ล้านคนนั้น ได้รับศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์กลับคืนมา ด้วยวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของนายมิคาเอลกอร์บาชอฟ อีกทั้งประเทศต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต และโลกค่ายคอมมิวนิสต์นั้น ก็มีอิสรภาพ และเสรีภาพในการกำหนดใจตนเองในการสร้างอนาคตให้กับประเทศของตน
กลุ่มคนเหล่านี้คงลืมไปว่า ที่นายมิคาเอล กอร์บาชอฟ จำเป็นที่จะต้องตัดสินใจนำนโยบายและมาตรการเปิดกว้าง (glasnost) และปรับโครงสร้าง (Perestroika) มาใช้ในขณะนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่จำเป็น และหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจาก
ระบอบคอมมิวนิสต์โซเวียตนั้นถึงจุดอิ่มตัว ไม่สามารถที่จะแข่งขันกับความเจริญก้าวหน้าของระบอบเสรีประชาธิปไตย และระบอบเศรษฐกิจการตลาดแบบทุนนิยมได้อีกต่อไป จำต้องปรับตัว และเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
อย่าลืมว่าประเด็นสำคัญก็คือ ทั้งหมดนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆ นานา เป็นไปด้วยสันติวิธี รวมทั้งการจะคงสถานะเดิมของโลกคอมมิวนิสต์ก็มิได้รับการตอบสนองจากประชาชนพลเมืองโซเวียต และประชาชนพลเมืองในประเทศเครือบริวารต่างๆ ในขณะนั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ ได้ทำให้โลกหายใจได้ทั่วท้องเมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลง และโลกจึงมีโอกาสที่จะเปิดฉากการร่วมมือเพื่อสันติสุขและความเจริญก้าวหน้าของโลกร่วมกันได้
ก็หวังว่าชาวโซเวียตแต่อดีต และชาวรัสเซียในปัจจุบัน จะหันกลับมาให้ความสำคัญต่อการคืนศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ โดยฝีมือของ นายมิคาเอล
กอร์บาชอฟ มากกว่ามัวแต่คิดคำนึงถึงการสูญเสียสถานะของการเป็นประเทศมหาอำนาจของโซเวียต
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของความเป็น “ไท” และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ซึ่ง นายมิคาเอล กอร์บาชอฟ ได้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์โลก มิด้วยการใช้กำลังทหาร หากแต่ด้วยวิสัยทัศน์ ด้วยความคิด สติปัญญา และความแน่วแน่ และการยืนหยัดกับความคิดอ่านที่ถูกต้องที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ
ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถกล่าวได้เต็มปากว่า นายมิคาเอล กอร์บาชอฟ คือรัฐบุรุษของทั้งโซเวียต และรัสเซีย รวมทั้งเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในสังคมโลก
ด้วยความเคารพจากผู้เขียนที่ได้ข้องแวะกับสหภาพโซเวียตมาพอสมควร รวมทั้งยังเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ของการเปลี่ยนแปลงจากสหภาพโซเวียต ไปสู่การเป็นประเทศรัสเซีย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี