เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2543 ราชอาณาจักรไทยในช่วงรัฐบาลชวน หลีกภัย ได้ลงนามในธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ แต่จวบจนบัดนี้ (มีการเปลี่ยนแปลงคณะรัฐมนตรีไปแล้วหลายชุด) ก็ยังไม่มีการดำเนินการเพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐสภา เพื่อการให้สัตยาบันแก่ธรรมนูญกรุงโรมฯดังกล่าว ที่จะเป็นการอำนวยให้ราชอาณาจักรไทยได้เข้าเป็นสมาชิกอย่างสมบูรณ์ และสง่างาม
ประเด็นปัญหาของการที่มิได้มีการดำเนินการให้แล้วเสร็จสักที ก็เพราะมีข้อท้วงติงและคัดค้านจากหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยว่า การให้สัตยาบันดังกล่าว หรือการเข้าเป็นสมาชิกธรรมนูญแห่งกรุงโรมฯ นั้น จะเป็นภยันตรายต่อความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย เพราะหากกองทัพไทยไปดำเนินการหนึ่งใด ที่เข้าข่ายการเป็นอาชญากรรม ก็อาจจะเกิดการสืบสาวเรื่องราวขึ้นไปยังองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยได้ ส่งผลให้การให้สัตยาบันแก่ธรรมนูญกรุงโรมฯของไทยยังค้างคามาจนบัดนี้
แต่ทั้งนี้ก็มีข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่า ประเทศต่างๆ ที่เป็นราชอาณาจักร และมีระบอบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ต่างก็ได้เข้าเป็นสมาชิกหรือภาคีของธรรมนูญแห่งกรุงโรมกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นราชอาณาจักรญี่ปุ่น หรือราชอาณาจักรต่างๆ ทุกราชอาณาจักรในทวีปยุโรป ซึ่งต่างก็มีองค์พระมหากษัตริย์ หรือองค์พระมหากษัตริย์ เป็นจอมทัพกันทั้งนั้น ซึ่งทั้งหมดก็เป็นไปตามประเพณีปฏิบัติ เป็นสัญลักษณ์ ในขณะที่แต่ละพระองค์มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการของกองทัพแต่อย่างใด นอกจากนั้น ราชอาณาจักรเหล่านี้ ต่างก็มีความมั่นใจว่า เรื่องราวพฤติกรรม หรือการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล รวมทั้งกองทัพใดๆ นั้น เป็นเรื่องที่ฝ่ายผู้บริหารราชการบ้านเมืองดังกล่าวจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดแต่ผู้เดียว ไม่อาจเท้าความ หรือเอื้อมบังอาจไปยังสถาบันพระมหากษัตริย์ได้
อีกทั้งฝ่ายผู้บริหารสำนักงานกลางของศาลอาญาระหว่างประเทศ และผู้รักษาและดูแลธรรมนูญแห่งกรุงโรม ก็ได้ทำการชี้แจงเป็นที่ประจักษ์ในโอกาสต่างๆ ว่า สาระเนื้อหาของธรรมนูญแห่งกรุงโรม ไม่สามารถที่จะไปแตะต้ององค์พระประมุขประเทศต่างๆ ได้ เพราะต่างตระหนักดีว่าองค์พระประมุขมิได้มีส่วนที่จะต้องมาเกี่ยวข้อง และรับผิดชอบต่อการกระทำอันไม่บังควรของฝ่ายผู้บริหารประเทศ รวมทั้งฝ่ายกองทัพแต่อย่างใดซึ่งเรื่องนี้ ผมเองได้เคยพบปะหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานศาลอาญาระหว่างประเทศด้วยตนเอง ระหว่างการไปทัศนศึกษาที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลอาญาระหว่างประเทศเมื่อไม่กี่ปีมานี้
สรุปได้ว่า การอ้างอิงของฝ่ายความมั่นคงไทยเพื่อมิให้มีการให้สัตยาบันนั้น เป็นแค่ความคิดไปเอง บนพื้นฐานข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้อง ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง แล้วก็อาจจะมีมุมมองในเชิงอคติว่า กล่าวอ้างความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์มาบังหน้า โดยมีวัตถุประสงค์แท้จริงคือการปกป้องตนเอง (ทั้งฝ่ายบริหาร และฝ่ายกองทัพ) จากการขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ หากกระทำที่มิชอบเป็นอาญาระหว่างประเทศ
แต่เรื่องที่สำคัญที่สุด ก็คือ ธรรมนูญกรุงโรมนั้น ว่าด้วยการจัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศขึ้น เพื่อเป็นผู้ปกป้องประชาชนพลเมืองตาดำๆ จากการกระทำที่มิชอบ โดยเฉพาะการโหดร้ายทารุณของรัฐบาลหรือฝ่ายปกครองนั้นๆ ต่อประชาชนพลเมืองของตนเอง หรือแม้กระทั่งรัฐบาลของประเทศหนึ่งใดอาจไปทำสงครามกับรัฐบาลอีกประเทศหนึ่ง และเข้าไปกระทำการทารุณกรรมต่อประชาชนพลเมืองของประเทศนั้นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสู้รบแต่อย่างใด
ฉะนั้น ธรรมนูญแห่งกรุงโรม และตัวศาลอาญาระหว่างประเทศ จึงเป็นมิตรกับประชาชนพลเมืองของทุกประเทศทั่วโลก และเป็นผู้ร่วมปกป้องและป้องกันมิให้ผู้ปกครองหรือรัฐบาล ประเทศหนึ่งใดทำร้ายประชาชนพลเมืองของตนเอง
ในการนี้จึงไม่มีเหตุผลอันใด ที่ราชอาณาจักรไทยโดยรัฐสภา จะไม่รีบนำเรื่องนี้กลับเข้ามาสู่การพิจารณา เพื่อให้มีการให้สัตยาบัน เพื่อราชอาณาจักรไทยจะได้เข้าไปเป็นสมาชิก และประชาชนพลเมืองไทยทั้งหมดก็จะมีความอุ่นใจและสบายใจ เพราะจะมีองค์กรระหว่างประเทศช่วยดูแล ปกป้อง และคุ้มครอง จากความประพฤติมิชอบ หรือการถูกคุกคามโดยรัฐบาลหนึ่งใด
การเริ่มเรื่องอีกครั้ง อาจจะเริ่มต้นที่หน่วยงานราชการ เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงกลาโหม และสำนักงานสภาความมั่นคง ทำการเสนอเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรี หรือคณะกรรมาธิการต่างๆ ของรัฐสภา ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นฝ่ายข้าราชการประจำ หรือข้าราชการฝ่ายการเมืองก็ตาม จะต้องเอาประชาชนพลเมืองเป็นตัวตั้งเอาผลประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะเมื่อทราบแล้วว่า ธรรมนูญแห่งกรุงโรมและศาลอาญาระหว่างประเทศนั้น เป็นประโยชน์อันสำคัญยิ่งต่อประชาชนพลเมืองไทย
ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ จะทำนิ่งเฉยเหมือนในอดีต โดยจะต้องลุกมาปฏิบัติหน้าที่ ในการสนอง และรับใช้ประชาชนพลเมืองอย่างทันที
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี