วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจได้ทวีต รูปภาพและข้อความเป็นภาษาอังกฤษ ประกาศว่า จะยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างกลุ่มผู้ประท้วงในประเทศอิหร่าน ไปพร้อมๆ กับการต่อสู้ในประเทศไทย และยังเชิญชวนให้ลงชื่อสนับสนุนการประท้วงในอิหร่าน โดยนายธนาธร ได้แท็กชื่อ Freedom House (@freedomhouse) องค์กร NGO ของสหรัฐฯ
ต่อมา วันที่ 3 กุมภาพันธ์ สถานทูตอิหร่านประจำประเทศไทย ได้ทวีตข้อความโต้ตอบทวีตของนายธนาธร ระบุว่า “มิตรภาพกว่า 400 ปี ระหว่างประเทศไทยกับประเทศอิหร่าน มีความแข็งแกร่งและแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นมากกว่าเดิม และด้วยความเคารพที่อิหร่านมีประชาชนชาวไทย อิหร่านมั่นใจว่าท่าทีทางการเมืองเช่นนี้(ของนายธนาธร) ไม่สามารถสร้างอิทธิพลใดๆ ต่อมิตรภาพของทั้ง 2 ประเทศ”
1) นายนันทิวัฒน์ สามารถ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า
“ไม่เสือกสักเรื่อง? เห็นข่าวที่คุณทอนไปเจอเรื่องการชุมนุมประท้วงในอิหร่าน ไม่รู้ว่า ใช้สิทธิอะไรไปข้องแวะเรื่องภายในของประเทศอื่น ใช้มาตรฐานความคิดอย่างไรไปกล่าวหาอิหร่านว่า เป็นประเทศเผด็จการ
อย่าทำตัวเป็นเชกูวารา นักปฏิวัตินักต่อสู้ชาวเอเจนที่มีจิตใจต่อสู้เพื่อชาวลาตินอเมริกัน ที่ไปสู้ทุกที่ทุกประเทศอาสารบทุกพื้นที่ แต่ต้องรู้นะ เชกูวารา เป็นสังคมนิยมต่อต้านอเมริกานะ
อิหร่านกับไทยมีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมาอย่างยาวนานนานมากกว่า 400 ปี นับแต่ยุคที่เป็นประเทศเปอร์เซีย และมีชาวอิหร่านที่เข้ามาอยู่ในไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาและกลายมาเป็นคนไทยสืบสายตระกูลเก่าแก่ จนอาจกล่าวได้ว่า ไม่มีอะไรจะมาแยกและทำลายสายสัมพันธ์นี้ได้
หลังจากโพสต์เชิญชวนไม่นาน สถานทูตอิหร่านก็ออกแถลงการณ์ทันที
อยากจะบอกว่า ไม่ต้องชวนใครให้ต่อต้านประเทศอื่นอยากเป็นนักการเมืองที่ดีต้องรู้จักกาลเทศะ ไม่ก้าวล่วงกิจการภายในของประเทศอื่น อย่าใช้ทัศนคติตำรวจโลกเที่ยวตัดสินว่าประเทศนั้นๆ ผิด โลกนี้มีความแตกต่างไม่จำเป็นต้องเป็นพิมพ์เดียวกัน ไม่ต้องเหมือนกัน
ทัศนคติอย่างนี้ เป็นนักการเมืองก็ไม่ได้ เป็นนักปฏิวัติก็ล้มเหลว”
2) ถอยหลังไปก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 คอลัมน์ “เมืองไทย 360 องศา” ผู้จัดการออนไลน์ เคยนำเสนอบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการเมืองผ่าน “ม็อบ” และการ “โหนสถานการณ์ในประเทศอื่น” ว่า
“ก็น่าเห็นใจสำหรับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้ากลุ่ม “ก้าวหน้า” ที่กำลังตกเป็นผู้ต้องหาหลายคดี และกำลังอยู่ในช่วง “ขาลง” เสื่อมความนิยมลงไปเรื่อยๆ จากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เรียกว่าความเสื่อม“เกิดจากตัวเอง” ไม่ได้มีใครทำ เพราะเมื่อยิ่งนานก็ยิ่งเผยให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากล ทั้งตัวเองและคนในครอบครัว
ออกมาให้เห็นเรื่อยๆ และเป็นกลุ่มทุนที่เริ่มถูกจับตาว่าชักจะใกล้เคียงคำว่า “ทุนสามานย์” เข้าไปทุกทีแล้ว
...แต่ขณะเดียวกันเขาและทีมงานยังมีความพยายามเคลื่อนไหวในแบบเชิดชูสิทธิ เสรีภาพ ทนไม่ได้กับเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน และความฉ้อฉล และล่าสุดยังเลยเถิดไปไกลข้ามแดนไปถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่าง“เมียนมา”แล้ว หลังเกิดเหตุกองทัพก่อการรัฐประหารรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง
...อย่างไรก็ดี แม้ว่าในหลักการประชาธิปไตยการรัฐประหารโดยการใช้กำลังเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และไม่ควรสนับสนุน แต่สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บริเวณหน้าสถานทูตเมียนมาประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ที่มีกลุ่ม “สามนิ้ว” ไปชุมนุมประท้วง ถือว่าเป็นเรื่องที่สามารถ “อ่านเกม” ได้ไม่ยาก เพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องซับซ้อนจนเข้าใจยากแต่อย่างใด
...เหตุการณ์ชุมนุมของ“กลุ่มสามนิ้ว”ที่เป็นเครือข่ายของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ระดมกันมาประท้วงที่หน้าสถานทูต ที่แม้ว่าหน้าฉาก จะบอกว่าต้องการต่อต้านประณามการรัฐประหารของกองทัพเมียนมาก็ตาม แต่เป้าหมายที่ต้องการกระทบชิ่งก็คือ การรัฐประหารในไทยและการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
...วกมาที่การชุมนุมหน้าสถานทูตพม่า นายธนาธรก็พยายามแสดงให้เห็นว่าเป็น “นักประชาธิปไตย” ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ต้องการรักษา “เอกลักษณ์” ประจำตัวแบบนี้ออกมา แต่เจตนาข้างในนั้น อีกอย่างหรือเปล่า เพราะหน้าฉากต้องการ “โหน” สถานการณ์การเมืองในเมียนมาเพื่อมา “หลอกด่า” รัฐบาล หลอกด่าพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำก่อรัฐประหาร รวมไปถึงการกดดันให้พล.อ.ประยุทธ์ แสดงท่าทีต่อเหตุการณ์ในเมียนมา ทั้งที่หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า ไม่มีผู้นำหรือรัฐบาลประเทศไหน ออกแถลงการณ์ประณามแต่อย่างใด โดยส่วนใหญ่ยึดหลักการของอาเซียนมาช้านาน ว่า “ไม่แทรกแซงกิจการภายใน” ของประเทศอื่น”
3) น่าสนใจว่า นายธนาธร ซึ่งหายเงียบไปจากพื้นที่ข่าวพักใหญ่ๆ แล้ว ทำไมจู่ๆ ก็หวนกลับมา “หาพื้นที่” เพื่อ
“เป็นข่าว” อีก คำตอบแบ่งเป็น 2 ข้อครับ
ข้อแรก – การเลือกตั้งกำลังจะมาถึง
ข้อสอง - คะแนนนิยมของ “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกลไม่ขึ้น ไม่โดดเด่น
ดังเช่นข้อความที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาฯ พรรคอนาคตใหม่ คู่หูของนายธนาธร เคยโพสต์ “ฉีกหน้า” ทิม พิธา เอาไว้ (ทั้งๆ ที่ไปพูดกันเป็นการภายในก็ได้ แต่ไม่ทำ) ว่า...
“จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน หรือ “โพล” ของหลายสำนัก พบว่า คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกล และพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อยู่ที่ประมาณร้อยละ13-15 อาจมีบวกลบอีกร้อยละ 1 โดยที่คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลสูงกว่าพิธาอยู่ประมาณร้อยละ 2-3 คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลและพิธาหยุดนิ่งเท่านี้มานานหลายเดือน จนเกือบครบปีแล้ว เกจิอาจารย์กูรูทางการเมืองวิเคราะห์กันว่า คงไม่ได้ไปมากกว่านี้ คงหยุดอยู่เท่านี้ หรืออาจถดถอยลงกว่านี้อีกเล็กน้อย เว้นเสียแต่มีเหตุการณ์แบบ “ธนาธรฟีเวอร์” เหมือนช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562”
โดยปิยบุตรอ้างถึงกระแส “ธนาธรฟีเวอร์” ว่ามาจากปรากฏการณ์ “ฟ้ารักพ่อ” จากงานกีฬาประเพณีฟุตบอลจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ สู่การเป็นกระแสในโลกออนไลน์ออกดีเบตที่โดดเด่นในสื่อโทรทัศน์ และการยุบพรรคไทยรักษาชาติ
“ความสดใหม่ ความชัดเจน บุคลิก และพลังงานอันล้นเหลือของธนาธร ทำให้เกิดกระแส “ธนาธรฟีเวอร์” ไปทั่วประเทศ ผมเชื่อว่า ในการเลือกตั้ง 2566 พรรคก้าวไกลจะไม่มีและไม่สามารถจะมีกระแสแบบ “ธนาธรฟีเวอร์” อีกแล้ว ประกอบกับ ระบบเลือกตั้งที่เปลี่ยนไป ไม่สามารถนำคะแนนร้อยละ มาคำนวณเป็นที่นั่ง สส.ได้อย่างแน่นอนเป๊ะๆ แบบปี’62 ดังนั้น คะแนนนิยมจากสำรวจที่หยุดนิ่งที่ร้อยละ 13-15 จะกลายเป็น สส.เท่าไร พรรคก้าวไกลจะทำอย่างไรให้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นไปอีก ไปแตะร้อยละ 20-25” ปิยบุตรกล่าว
และย้ำว่า “ผลสำรวจคะแนนนิยมทุกครั้ง พบว่า พรรคก้าวไกลมีมากกว่าพิธา อยู่ร้อยละ 2-3 ในขณะที่เสียงสะท้อนจากพื้นที่ ที่ผมได้ยินมา คือ ประชาชนรู้จักพรรคก้าวไกล ประชาชนรู้จักธนาธร แต่ในบางพื้นที่ ประชาชนยังไม่รู้จักมักคุ้นกับพิธา
พิธา โดดเด่น และเป็นที่ยอมรับ ในกลุ่มคนเมืองหลวงคนในเขตเมือง (เขต 1 ในจังหวัดต่างๆ) คนชั้นกลาง คนชั้นกลางระดับบน คนทำงานออฟฟิศ เยาวชนคนรุ่นใหม่ คนเล่นโซเชียล แต่ในเขตพื้นที่ที่ห่างไกลออกไป พื้นที่อื่น กลุ่มอื่น ชื่อของพิธา ยังไปไม่ถึง
ในขณะที่ชื่อของธนาธร ณ เวลานี้ ค่อนข้างแน่ใจว่าคนรู้จักทั่วประเทศ ทุกพื้นที่ ทุกกลุ่ม (ซึ่งมีทั้งคนชอบ คนเชียร์คนแช่ง คนชัง) ผู้สมัครหลายคนเคยบอกผมว่า คนจำนวนมาก เห็นชื่อพรรคก้าวไกล สัญลักษณ์สามเหลี่ยมสีส้ม ก็จะร้องทักว่า พรรคธนาธร ส่วนคนที่ไม่ได้ติดตามมากนัก ผู้สมัคร สส.หลายคน ก็ใช้วิธีเท้าความไปถึงพรรคอนาคตใหม่ที่มีธนาธรเป็นหัวหน้าพรรค ก็จะร้องอ๋อ เข้าใจทันที”
ด้วยเหตุนี้ใช่หรือไม่ ที่ทำให้ “ธนาธร” ต้อง “ออกโรง” ต้องปลุกกระแส ต้องสวมบท “นักสู้เพื่อประชาธิปไตย” อีกครั้ง ในช่วงใกล้เลือกตั้ง
ทั้งธนาธร และทิม-พิธา จึงต้องไปร่วมอีเว้นต์“ยืน หยุด ขัง”
ทั้งหมดก็เพื่อ “ย้ำแบรนด์” เพราะกลัว “ลูกค้า” จะลืมและหนีไปเลือกพรรคอื่นหมด และรู้ว่า จะไม่มีพรรคการเมืองอื่นเล่นประเด็น “สุดโต่ง” แบบนี้แน่ จึงต้องออกมา “สร้างประเด็น” เพื่อ “แหวกพื้นที่” ให้แก่พรรคก้าวไกล ที่หัวหน้าพรรคยัง “ไม่ฟีเวอร์”
ถามว่า ในโลกของความเป็นจริง นอกจากภาพเก่าที่เคยถูกยิงด้วยกระสุนยางเมื่อครั้งเข้าร่วมม็อบ นปช.มาก่อนภาพเดียว ธนาธร เคยลงไปปักหลักสู้กับม็อบอื่นๆ ไหม โดยเฉพาะม็อบคนรุ่นใหม่ที่ปลุกปั่นกันขึ้นมา สู้ในแบบที่ “ยืนอยู่ข้างหน้า” มีไหม?
ธนาธรสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ต่อสู้เรื่อง “เครื่องแบบนักเรียน” แต่ลูกของเขาสวมชุดนักเรียนไปเรียนโรงเรียนชั้นดีทุกวัน พักงานในบริษัทของครอบครัวเขาก็สวมเครื่องแบบพนักงานกันเกือบทั้งนั้น
นอกจากเล่นบท “พระเอกออนไลน์” แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง เมียนมา หรือล่าสุดคือ อิหร่านนี้ ธนาธรมี “แอ๊กชั่น” อะไรอีก นอกจากผลิตข้อความออกมา“หล่อๆ” ในโลกออนไลน์
เขาได้เดินไปสู้ เดินไปชน กับสิ่งที่เขา “บูชา” อย่างสูงสุด อย่างที่แสดงในโลกออนไลน์บ้างไหม?
ฝากไว้ให้คนที่เชื่อและนิยมชมชอบ “ธนาธร” ลองคิด ซึ่งขออนุญาตคาดหวังว่า “อวัยวะที่ใช้คิด”ยังมีกันอยู่ทุกผู้ทุกคน !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี