กรณีครอบครัว รัตนพันธ์ เปิดแถลงข่าว กรณีพิพาทกับบริษัทมหาชน จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยักษ์ใหญ่อสังหาฯ
จากนั้น ได้ไปร้อง ก.ล.ต.
เรื่องนี้ ก.ล.ต. ควรต้องสอบสวนให้ชัดเจน หรือละเว้น โดยอ้างว่ามีเป็นข้อพิพาทส่วนตัว?
ลองคิดง่ายๆ ยังไม่ต้องทราบว่าบริษัทอสังหาฯ ยักษ์ใหญ่นั้นเป็นใคร
ลองคิดว่า เมื่อมีบริษัทอสังหาฯ (มหาชน) รายหนึ่ง จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีประชาชนถือหุ้นนับหมื่นคน
บริษัทนี้ ถูกกล่าวหาว่า ได้ทำข้อตกลงให้ครอบครัวของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ไปรวบรวมที่ดินมาขายให้แก่บริษัท โดยตกลงจะให้ได้รับผลประโยชน์จากส่วนต่างราคาขาย และบริษัทได้เพิ่มราคาที่รับซื้อขึ้นจาก 5 หมื่นบาทต่อตารางวา เป็น 86,000 บาทต่อตารางวา
ในวันเดียวกันนั้น ได้ทำนิติกรรมอำพราง ทำสัญญาเงินกู้ 20 ล้านบาท เพื่อนำเงินของบริษัท (ของผู้ถือหุ้นทั้งหมด) ผ่องถ่ายออกไปให้เด็กหนุ่มอายุ 20 ปีต้นๆ ดังกล่าว อ้างว่าบริษัทให้กู้เพื่อนำไปใช้รวบรวมที่ดิน แต่ไม่ปรากฏว่าบริษัทเคยมีการให้กู้แบบนี้กับใครมาก่อนบ้าง ไม่มีหลักประกันอะไรเลย แถมเด็กหนุ่มที่ได้รับเช็คไปก็ไม่เคยทำธุรกิจอะไรมาก่อนเลย ????
ทั้งหมดถูกกล่าวหาว่า กระทำเพื่อเป็นการเยียวยาความเสียหายในอดีต (มีการแสดงหลักฐาน คลิปวีดีโอ คลิปเสียง หนังสือติดตามเรื่อง การประชุมระหว่างกัน ฯลฯ)
ความเสียหายราวๆ 200 ล้านบาท เมื่อคำนวณราคาที่ดินที่ให้ไปรวบรวม ก็จะมีส่วนต่างราวๆ 200 ล้านบาทพอดี
ลองคิดดูว่า ถ้าเกิดกรณีเช่นนี้ ท่านผู้อ่านจะเชื่อตามที่เลขานุการบริษัทกล่าวอ้างว่า ถูกใส่ร้ายด้วยความเท็จ (แต่ไม่แจงรายละเอียดอะไรเลย) หรือจะเห็นว่า มันมีข้อพิรุธ ?
เมื่อครอบครัวนี้ ไปร้องให้ ก.ล.ต.ตรวจสอบ ปมว่า ผู้บริหารบริษัทบริหารงานขัดหลักธรรมาภิบาล อาจฝ่าฝืนกฎหมายบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯปมที่ไปทำข้อตกลงให้ผลประโยชน์ส่วนต่างราคาที่ดินแก่ครอบครัวหนึ่ง เพื่อชดใช้เยียวยาความเสียหาย (แล้วก็เบี้ยวเขาอีกที) และได้ผ่องถ่ายเงินของบริษัทออกไปให้เด็กหนุ่มคนหนึ่ง 20 ล้านบาท อ้างสัญญาเงินกู้ (แต่เอาไปฟ้องศาลเล่นงานเขา ก่อนที่ครอบครัวเขาจะฟ้องแย้งว่าเป็นนิติกรรมอำพราง และศาลรับฟ้องแล้ว)
ลองพิจารณาแบบ “ไม่รู้” ว่าบริษัทอสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์ฯนี้เป็นใคร?
ท่านผู้อ่านคิดว่า ก.ล.ต. ควรจะตรวจสอบอย่างจริงจัง หรือไม่?
น่าแปลกหรือไม่ ที่บริษัทนี้ได้เที่ยวข่มขู่ล็อบบี้สื่อมวลชน มิให้นำเสนอข่าวลบดังกล่าวด้วย
ในความเป็นจริง ก.ล.ต. จะต้องตรวจสอบเรื่องนี้ ถ้าไม่ตรวจสอบก็ถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ครอบครัวนี้ ไม่ได้มาทวงหนี้กับ ก.ล.ต.
ไม่ได้นำข้อพิพาทส่วนตัวมาร้อง
แต่นั่นเป็นหลักฐานการกระทำผิดของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ก.ล.ต.โดยตรงต่างหาก
ท่านผู้อ่าน และก.ล.ต. เอง อาจคุ้นเคยดีกับกลโกงที่เรียกว่า “ไซฟ่อนเงิน”
การไซฟ่อนเงิน (money siphoning) หมายถึง การยักย้ายถ่ายเทผลประโยชน์ของบริษัทไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว
อาจจะทำผ่านช่องทางการทำธุรกิจปกติในรูปของการซื้อขายสินค้าหรือทรัพย์สิน การกู้หรือให้ยืมเงิน การค้ำประกัน ระหว่างบริษัทจดทะเบียนกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ผู้บริหารหรือกิจการของบุคคลเหล่านี้
ก.ล.ต. ได้ศึกษาพฤติกรรมของบริษัทจดทะเบียนไทยในช่วงที่ผ่านมา พบว่า มีรูปแบบการไซฟ่อนที่พบบ่อย ๆ อยู่สามแบบ
แบบที่หนึ่ง คือ การที่ บริษัทจดทะเบียนซื้อหรือขายสินค้า หรือทรัพย์สิน ราคาสูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริง
โดยเฉพาะกับกรรมการ/ผู้บริหาร/ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หรือบริษัทในเครือ/บริษัทที่เกี่ยวข้องกับบุคคลเหล่านั้น เช่น
บมจ.วนิดา ได้ลงทุนซื้อหุ้น 25% ของ บจก.มหศักดิ์ (เป็นบริษัทของ คุณประจักษ์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บมจ.วนิดา) ในราคา 15 ล้านบาท ทั้งที่มูลค่าตามบัญชีเพียง 2 ล้านบาท โดยอ้างว่ามูลค่าที่จ่ายเพิ่มเป็นค่าความนิยมของ บจก. มหศักดิ์ แต่ในอีก 1 เดือนต่อมา บมจ. วนิดา ต้องตั้งสำรองเผื่อขาดทุนหุ้น บจก. มหศักดิ์ถึง 13 ล้านบาท และในปีถัดมา บจก. มหศักดิ์ ก็เลิกกิจการ เป็นต้น
อีกตัวอย่างของการไซฟ่อนในรูปแบบนี้ที่มักเกิดขึ้น ก็คือ เรื่องของการซื้อที่ดินในราคาสูง โดยมักให้เหตุผลว่าเพื่อเตรียมขยายโรงงาน เช่น
บมจ. วงศ์วิบูลย์ ซื้อที่ดินจาก บจก. พิสมัย (ซึ่งเป็นบริษัทที่ภรรยาประธานกรรมการ บมจ. วงศ์วิบูลย์ ถือหุ้นอยู่) ในราคา 50 ล้านบาท ซึ่งในเวลาต่อมา ปรากฏราคาประเมินของที่ดินแปลงดังกล่าวเพียง 18 ล้านบาท แถม บมจ. วงศ์วิบูลย์ ยังประกาศยกเลิกแผนขยายโรงงาน เท่ากับที่ดินที่ซื้อมาไม่มีการใช้ประโยชน์ตามที่บอกไว้ตอนซื้อ แต่ได้มีการผ่องถ่ายเงินของ บมจ. วงศ์วิบูลย์ออกไปยังบริษัทที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารเรียบร้อยแล้ว
แบบที่สอง คือ การที่ บริษัทจดทะเบียนให้กู้ หรืออำนวยประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นใหญ่ในกิจการส่วนตัว แล้วขอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติอนุมัติ ภายหลังปรากฏว่า ทำให้บริษัทจดทะเบียนได้รับความเสียหาย เช่น
บมจ. ดาวระบำ ได้รับมติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น (อาจเพราะผู้ที่โหวตออกเสียงส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเดียวกัน) ให้ปล่อยกู้แก่บริษัทส่วนตัวของคุณน้ำหวาน ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นเงินประมาณ 1,500 ล้านบาท เพื่อลงทุนโครงการแห่งหนึ่ง
ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดย บมจ. ดาวระบำ จะไม่ได้เป็นผู้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าว ต่อมาหลังวิกฤตเศรษฐกิจ โครงการดังกล่าวถูกเลื่อนไปไม่มีกำหนด บริษัทส่วนตัวของคุณน้ำหวานไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้ได้ ทำให้ บมจ. ดาวระบำ เสียหาย
แบบที่สาม คือ การปลอมแปลงเอกสาร/หลักฐาน รวมถึงเปิดบริษัทขึ้นมาทำธุรกรรมซื้อขายลวง เพื่อไซฟ่อนเงินออก เช่น
คุณประจวบ ผู้บริหารของ บมจ. ไทยมนตรี ใช้ชื่อผู้แทน (นอมินี) เปิดบริษัทอีกแห่งหนึ่ง เพื่อส่งวัตถุดิบให้กับ บมจ. ไทยมนตรี โดยมีการโยกเงินออก เพื่อซื้อวัตถุดิบกับบริษัทดังกล่าว และจัดทำเอกสาร/หลักฐานปลอมขึ้นมา ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ได้มีการซื้อขายสินค้ากันจริง เป็นต้น
ผลกระทบจากการไซฟ่อน ที่เป็นผลเสียต่อตลาดทุนโดยรวม และถือเป็นการเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายอื่น
ที่ผ่านมา ก.ล.ต. มีการกล่าวโทษผู้บริหารในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบในกิจการนั้นๆ มากมายหลายกรณี
ย้ำว่า เนื้อหาความรู้เรื่อง ไซฟ่อนเงิน ข้างต้น มาจากข้อเขียนของอดีตผู้บริหาร ก.ล.ต.เอง !!!
สรุป คำถาม คือ เกิดการไซฟ่อนเงินในบริษัทอสังหาฯ ยักษ์ใหญ่นั้น หรือไม่ ?
ก.ล.ต. คือผู้มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ จะต้องตรวจสอบ และลงโทษ
เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อย และหลักธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
หากอ้างว่า เป็นกรณีพิพาทส่วนตัว มีคดีอยู่ในศาล เพราะขลาดกลัวอิทธิพลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะน่าละอาย หรือไม่ ?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี