ทันทีที่เห็น “พรรคก้าวไกล” ยอมอ่อนข้อ ยกเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎรให้แก่ “นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา” จากพรรคประชาชาติ (ซึ่งหลายคนกล่าวว่า เป็นพรรคเพื่อไทยสาขาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้) คอการเมืองก็ทำนายได้ว่า พรรคก้าวไกลจะ “ไม่ได้อะไรอีกเลย” หลังจากนี้

พรรคก้าวไกล เล่นการเมืองแบบ “ปีนเกลียว” ก้าวร้าว รื้อทำลาย ยกตนข่มท่านไปทุกสารทิศ สร้างมิตรน้อยกว่าสร้างศัตรู มีความหลงตัวเอง และอำมหิตต่อการขับเคลื่อนมวลชน

ขณะที่การเมืองไทย ทุกอย่างลงตัวได้ด้วยการ “บิดเกลียวให้ลงล็อก”

ซึ่งเป็นการเมืองที่พรรคเพื่อไทยกำลังค่อยๆ “บิด” จนใกล้จะลงล็อกแล้วในเวลานี้

1) พรรคเพื่อไทย ได้เสียง สส. น้อยกว่าพรรคก้าวไกลแค่เพียง 10 เสียง อันที่จริงเขาตั้งรัฐบาลได้เลย ไม่ต้องรอพรรคก้าวไกลก็ได้ แต่ความที่ “ชั่วโมงบินสูง”
เขาเลือกเล่นบท “รอ” จนกว่าจะเจอจังหวะ “บิดเกลียว”ทุกอย่างก็จะลงตัว พวกที่ “ปีนเกลียว” ก็จะถูกจัดวางไว้ในที่อันสมควรแก่สันดาน

2) พรรคเพื่อไทยจึงสวมบท “พี่ชายที่แสนดี” สนับสนุน ประคอง น้อง “ส้ม” คือ พรรคก้าวไกลมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่ยอมรับการร่วมจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ มี “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี เพื่อเลี่ยงการปะทะกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “ด้อมส้ม” ซึ่งเป็น “แมลงรบกวนทางการเมือง” ที่ทั้งน่ารำคาญและน่ารังเกียจ ไม่นับผู้เลือกกลุ่มหนึ่งของก้าวไกลที่มีเหตุมีผล มีความสุขุม กลุ่มนี้จะกบดานเงียบๆมีวุฒิภาวะ ซึ่งก็ได้ผล ไม่มี “ทัวร์ลง” ที่พรรคเพื่อไทย

3) น่าสนใจมากขึ้น เมื่อพรรคเพื่อไทยเป็น “หัวหอก” เป็น “เสียงใหญ่ๆ” ในปฏิบัติการ “ดีด ม.112” ออกจากเอ็มโอยู หรือข้อตกลงการร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ตามมาด้วยพรรคอื่นๆ ที่สนับสนุนการไม่มีนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อยู่ในเอ็มโอยู เพื่อความราบรื่นของการจัดตั้งรัฐบาล ที่เหมือนเป็นการ “ชี้เป้า”รอให้สไนเปอร์ทางการเมือง “ยิงตัดขั้วหัวใจ”

4) ในเวลาต่อมา เมื่อจะต้องโหวตตำแหน่ง “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” ซึ่งจะเป็น “ประธานรัฐสภา”ไปด้วยโดยอัตโนมัติ เพื่อไทยเริ่ม “ตึง” จนก้าวไกลเริ่ม “หย่อน” จากเดิมที่พูดถึง “ธรรมเนียม” ว่าพรรคอันดับ 1ต้องได้เก้าอี้ประธาน สถานการร์พลิกกลับว่าพรรคเพื่อไทยจะเอาเก้าอี้ประธาน ก้าวไกลไม่ยอมอยู่หลายยก สุดท้ายต้องล่าถอย และไปขอให้ผู้อาวุโส “วันนอร์” มาเป็น“ตาอยู่” ที่หลายคนมองดูพร้อมการอมยิ้มว่า “เพื่อไทยคว้าไปกินในทางอ้อม” โดยที่ “ด้อม” อาละวาดไม่ได้เลยเพราะพรรคก้าวไกลเป็นผู้ยอมรับว่าถอยเอง และเป็นผู้เชิญนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา มาเป็นประธาน

5) เมื่อถึงวันโหวตเห็นชอบ “นายกรัฐมนตรี” พรรคเพื่อไทยไม่เสนอชื่อว่าที่นายกรัฐมนตรีในบัญชีของตัวเองที่มีถึง 3 คน แข่งกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เลย บท “พี่ชายที่แสนดี” ยังคงดำเนินต่อ เพราะคาดการณ์ได้ว่า ประเด็นการแก้ไข/ยกเลิกมาตรา 112 จะสำแดงเดชแล้วก็เป็นความจริง สส. และโดยเฉพาะ สว. ต่างอภิปรายถึงเรื่องนี้กันแบบ “จัดหนัก” โดยเฉพาะนายชาดา ไทยเศรษฐ์ จากพรรคภูมิใจไทย สุดท้าย มีเสียงเห็นชอบให้พิธาเป็นนายกฯ ไม่พอ ต้องนัดโหวตกันใหม่

6) หลายคนเดาผิดว่า เพื่อไทยจะเสนอชื่อนายกฯ ต่อจากพิธา ทว่า บท “พี่ชายที่แสนดี” ยังเล่นไม่จบพรรคเพื่อไทยแสดงตนผลักดันพิธาต่อไป ด้วยการให้เสนอชื่อพิธาเพียงคนเดียว ในการโหวตรับรองนายกฯ นัดที่ 2 ที่ประเด็น ม.112 ไม่ถูกปลดล็อกจากพรรคก้าวไกลแถมด้วยประเด็นใหม่ คือ เสนอชื่อพิธาเป็นนายกฯ เป็น “ญัตติซ้ำ” หรือเปล่า

7) ระหว่างถกเถียงกันเรื่อง “ญัตติซ้ำ” คำสั่งศาลก็เหมือนสายฟ้าที่ฟาดเปรี้ยงกลางสภา พิธาถูกศาลสั่ง “หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว” จากกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นเรื่องให้ศาลวินิจฉัย กรณีหุ้นสื่อไอทีวี และขอให้มีคำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวด้วย

8) ถึงเวลาแล้ว ที่ “พี่ชายที่แสนดี” ต้องก้าวขึ้นมาเป็น “พระเอก/นางเอก” แทน เพราะพรรคก้าวไกลเสนอชื่อนายพิธาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ไว้เพียงชื่อเดียว แม้การเป็นนายกฯ ไม่ต้องเป็น สส. ก็ได้ แต่ความเป็นพิธา เป็นพรรคก้าวไกล ที่มี ม.112 เป็นอุปสรรค เพราะพรรคก็ไม่ถอย สว.ก็ไม่โหวต การจะดึงดันเสนอชื่อพิธาต่อก็จะไปติดบทสรุปเรื่อง “ญัตติซ้ำ” อยู่ดี เวลานี้ จึงเป็นเวลาที่พรรคเพื่อไทยกำลังรวบรวมเสียงสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาล และการโหวตนายกฯ ที่กำลังถูกจับตาว่า เพื่อไทยจะ “สลัด” ก้าวไกลได้อย่างไร

9) “เป้าหมายสูงสุดของเราในฐานะพรรคอันดับ 1 คงอยู่ นั่นคือการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลเดิมให้สำเร็จ สิ่งสำคัญในวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องคุณพิธาจะได้เป็นนายกฯ หรือไม่ แต่คือเรื่องประเทศไทยจะกลับสู่ประชาธิปไตยได้หรือไม่ หยุดการสืบทอดอำนาจได้หรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ พรรคก้าวไกลจะเปิดโอกาสให้ประเทศ ให้พรรคอันดับ 2 คือพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลของพันธมิตร 8 พรรคที่เราได้เคยทำ MOU ร่วมกันเอาไว้” นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าว หลังนายพิธาต้องคำสั่งศาลให้หยุดปฏิบัติหน้าที่

10) นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ และ เลขาธิการพรรคเป็นธรรม โพสต์เฟซบุ๊ก “กัณวีร์ สืบแสงKannavee Suebsang” ระบุว่า สมการใหม่ที่ขอนำเสนอครับ รอ 10 เดือน หรือ เจ็บอีกหลายปี ??

เมื่อวานฟัง 8 พรรคร่วมที่จะจัดตั้งรัฐบาลบอกว่ามี 3 สมการ คือ

1.หาเสียง สว. เพิ่ม เลือกนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย

2.หาเสียง สส.เพิ่ม เลือกนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย

3.อื่นๆ ??!! คือทุกสมการที่ว่ามา คือ ก้าวไกลต้องลดเพดานนโยบายที่ให้ไว้กับ voters ของตน หรือ สมการ “อื่นๆ” อาจหมายรวมถึง ก้าวไกลต้องไปเป็นฝ่ายค้านก็เป็นได้

หากพิจารณาให้ดีแล้ว ทุกสมการทั้ง 3 หลักการและอุดมการณ์ทางระบอบประชาธิปไตยต้องถูกประนีประนอม (compromised) ทั้งสิ้น ทำไมพรรคฝั่งประชาธิปไตยต้องเล่นตามเกม ฝั่งอำนาจนิยมตลอดเวลา?? น่าคิดนะครับ ดึงเวลาทุกอย่างกว่าจะรับรอง สส. เลือกนายกรัฐมนตรี มีทั้งเสียง สว.และข้อบังคับการประชุมรัฐสภาที่ 41

หากดึงขนาดนี้ แล้วพรรคร่วมสามารถมองเห็นว่า เวลาไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญ คือ พี่น้องประชาชนและระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น การรออีก 10 เดือน ให้ สว. ระเหิดไปกับกฎหมายที่รองรับ แล้วเอาแค่เสียง สส. เลือกนายกรัฐมนตรี มันอาจจะเจ็บบ้างที่ต้องให้รัฐบาลรักษาการอยู่ต่ออีก 10 เดือน แต่เมื่อคำนวณผลลัพธ์แล้ว จะเห็นว่า เราจะไม่จบเจ็บอีกหลายสิบปี หากให้อำนาจนิยมได้กุมอำนาจอย่างต่อเนื่อง

แม้จะมีการยุบสภาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ความต่อเนื่องของอำนาจนิยม ยิ่งจะทำให้ประเทศนี้ต้องตกต่ำ จนยากจะกู้คืนกลับมาได้ครับ แค่ข้อเสนอสมการอีกอัน ทำงานใหญ่ใจต้องนิ่งครับ

10) ข้อเสนอของกัณวีร์ไม่มีความหมาย เมื่อต่อมา นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประกาศว่า จะไปทาบทามพรรคภูมิใจไทยกับพรรคชาติไทยพัฒนา ให้มาร่วมจัดตั้งรัฐบาล พรรคภูมิใจไทยออกมาประกาศชัดว่า พร้อมร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ถ้าไม่มีพรรคก้าวไกลตามมาด้วยพรรคชาติไทยพัฒนา ในเงื่อนไขเดียวกัน

11) พรรคการเมืองต่างๆ ประกาศ “กำจัดก้าวไกล”ด้วยประเด็น ม.112 เริ่มจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อนรักษาการเลขาธิการประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า “พรรคไม่ได้ปฏิเสธพรรคก้าวไกล แต่ปฏิเสธแนวทาง นโยบายและแนวความคิด เรื่องแก้ไขมาตรา 112” ดังนั้น ตราบใดที่มาตรา 112 ยังอยู่ในกระบวนการของพรรคก้าวไกล พรรคประชาธิปัตย์ก็รับไม่ได้

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยออกมาย้ำอีกครั้งว่า พรรคภูมิใจไทย มีจุดยืนที่ได้แถลงการณ์และพูดหลายครั้งแล้วว่า จะไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคที่มีนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งหากพูดให้ชัดเจนก็คือพรรคก้าวไกลเพียงพรรคเดียวที่มีนโยบายเรื่องนี้ และไม่มีท่าทีที่จะลดระดับ มีแต่จะเพิ่มความแข็งกร้าวขึ้น โดยไม่รับฟังเสียงทักท้วง คำร้องขอของใครทั้งนั้น ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า ประเด็นนี้ จะทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติ

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ยืนยันผ่านเฟซบุ๊ก ว่า ในการโหวตเลือกนายกฯครั้งต่อไปหากยังมีพรรคก้าวไกลร่วมเป็นรัฐบาลด้วยก็จะไม่เห็นชอบกับบุคคลใดจากพรรคใดก็ตามที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ เพราะจากการดำเนินการทางการเมืองที่ผ่านมาของพรรคก้าวไกลทำให้ไม่เชื่อว่าพรรคดังกล่าวจะเปลี่ยนแนวทางและอุดมการณ์ของพรรคได้ อีกทั้งจะไม่ร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคการเมืองใดก็ตามที่นำพรรคก้าวไกลมาร่วมเป็นรัฐบาลด้วยอย่างเด็ดขาด เพราะพรรครวมไทยสร้างชาติยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์จึงไม่เห็นชอบกับบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ ที่ผ่านมาทั้ง 2 ครั้ง เพราะไม่เชื่อว่าพรรคก้าวไกลซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่บุคคลดังกล่าวสังกัดอยู่จะมีแนวทาง
เดียวกับพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างแท้จริง

นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาให้สัมภาษณ์ว่า พรรคชาติไทยพัฒนายินดีสนับสนุนแคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรีที่เสนอโดยพรรคเพื่อไทย แต่มีเงื่อนไขว่า พรรคเพื่อไทยจะต้องไม่ทำงานร่วมกับพรรคการเมืองที่มีนโยบายแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายอาญา มาตรา 112 เช่น พรรคก้าวไกลที่มีนโยบายชัดเจนในเรื่องนี้มาโดยตลอด เพราะจุดยืนของพรรคชาติไทยพัฒนาคือ ไม่แตะต้อง และไม่แก้ไข มาตรา 112

รวมถึง นายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ ที่กล่าวว่า ในนามของพรรคพลังประชารัฐ แสดงจุดยืนที่จะไม่เข้าร่วมสนับสนุนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และร่วมจัดตั้งรัฐบาลหากพรรคร่วมรัฐบาลยังมีพรรคที่ชื่อก้าวไกลอยู่ร่วมด้วย ตามที่พรรคพลังประชารัฐได้ประกาศตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 และจะไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคที่มีนโยบายดังกล่าว

12) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลได้โพสต์คลิปวีดีโอพร้อมข้อความ ลงบนเฟซบุ๊ก “Pita Limjaroenrat - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” โดยมีข้อความว่า

“วันนี้ชัดเจนแล้วว่าองคาพยพฝั่งอนุรักษนิยมทั้งหมดไม่ยอมให้เราเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลโดยเอาเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 มาเป็นเงื่อนไขข้ออ้างแต่การที่ผมไม่สามารถเป็นนายกได้ ไม่ได้หมายความว่าความหวังของพวกเราในการเปลี่ยนแปลงประเทศจะสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้

สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การที่ผมได้เป็นนายก แต่คือการจัดตั้งรัฐบาลตามเจตนารมณ์ของประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนขั้วพลิกข้างหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของขั้วรัฐบาลเดิม

พิธาเป็นหรือไม่เป็นนายกไม่สำคัญ พรรคก้าวไกลเป็นหรือไม่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลไม่สำคัญ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเสียงของประชาชน 27 ล้านเสียงที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้งต้องมีความหมาย

พรรคก้าวไกลพร้อมสนับสนุนพรรคอันดับสองคือพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนให้ได้ ตราบใดที่เรายังจับมือกันแน่น การสืบทอดอำนาจของกลุ่มขั้วอำนาจเดิมจะไม่มีวันสำเร็จ

ขอให้ประชาชนอย่าหมดหวัง ประเทศไทยวันนี้เดินมาไกลและจะไม่มีวันถอยกลับ เราจะไม่ปล่อยให้พวกเขาหมุนเวลาพาประเทศกลับสู่อดีตอีกต่อไป”

13) ภาพที่พรรคการเมืองต่างๆ ทั้งภูมิใจไทย ชาติพัฒนากล้า และรวมไทยสร้างชาติ มาพบกับพรรคเพื่อไทยเพื่อ “บิดเกลียวให้ลงล็อก” คือภาพที่ผู้คน
ต่างเชื่อตรงกันว่า กำลังจะนำไปสู่ “ฉากจบ” ของการตั้งรัฐบาลที่ “ไม่มีพรรคก้าวไกล”

การประกาศมีพรรคสองลุง (รวมไทยสร้างชาติ, พลังประชารัฐ) ไม่มีก้าวไกล ของพรรคก้าวไกล จะเป็นฉากไคลแมกซ์ ที่เปิดช่องไว้ ให้ก้าวไกลดีดตัวออกมาเอง และเล่นการเมืองแบบ “บ่มอารมณ์มวลชน” ด้วยความเจ็บปวด โกรธ แค้น และ “รอวันเอาคืน”

จึงต้องจับตามองว่า รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย จะนำประเทศไทยไปสู่จุดไหน

ประชานิยม และการดูแลประชาชน จะเอาชนะ “แรงอาฆาต” จนการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่ไม่มี สว.มาร่วมโหวตนายกฯ อีกแล้ว “ก้าวไกล” จะแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดินได้หรือเปล่า อยู่ที่ฝีมือของ “พรรคเพื่อไทย”ที่ยกนี้ รับรางวัล “ตุ๊กตาทอง” ไปอย่างสวยๆ

พร้อมๆ กับภาพฝ่าย “สลิ่ม” ที่เข้าร่วมได้โดยไม่อาการเคอะเขิน!!