การจะออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทเพื่อมาแจกให้ประชาชน 50 ล้านคน ตามโครงการเติมเงิน 10,000 บาท เข้าดิจิทัล วอลเล็ตของรัฐบาลเศรษฐา
เป็นเรื่องที่จะสร้างผลกระทบทางการเงินการคลังของประเทศในอนาคตอย่างมาก
อีกทั้ง ดำเนินการไม่ตรงปก เพราะเคยบอกว่าจะแจกเงินได้โดยไม่กู้ยืมเงินแม้แต่บาทเดียว
1. “นิด้าโพล” เปิดเผยผลสำรวจของประชาชนเรื่อง “OK ไหม กับ นายกฯ สรุปเอง เงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท”
ประเด็นความคิดเห็นของประชาชนต่อแหล่งที่มาของงบประมาณในการจัดทำนโยบายเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ที่รัฐบาลจะออกพระราชบัญญัติ กู้เงิน 500,000 ล้านบาท
ปรากฏว่า ร้อยละ 50.69 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย
และรองลงมา ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย
มีเพียงร้อยละ 14.89 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วยร้อยละ 13.35 ระบุว่า เห็นด้วยมาก
และร้อยละ 2.37 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
จะเห็นได้ว่า กลุ่มประชาชนที่ไม่เห็นด้วยเลย และไม่ค่อยเห็นด้วย เป็นสัดส่วนมากถึง 69%
นอกจากนี้ เมื่อถามถึงความคิดเห็นต่อนโยบายเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ภายหลังการแถลงของนายกรัฐมนตรี พบว่า ร้อยละ 29.92 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย
รองลงมา ร้อยละ 25.97 ระบุว่า เห็นด้วยมาก
ร้อยละ 25.11 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย
ร้อยละ 18.24 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย
และร้อยละ 0.76 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
จะเห็นได้ว่า เสียงก้ำกึ่งกันมาก เกือบๆ จะ 50/50
พูดง่ายๆ ว่า มีเสียงไม่เห็นด้วยเกือบ 50%
ซึ่งถือว่าสูงมาก สำหรับโครงการที่จะต้องสร้างภาระหนี้ให้กับประเทศมหาศาลถึง 5 แสนล้านบาทเช่นนี้
2. นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ยืนยันเดินหน้าโครงการเติมเงินหมื่น ดิจิทัล วอลเล็ต ที่จะต้องกู้เงิน 5 แสนล้านบาท
ล่าสุด ชี้แจงเพิ่มเติม ประเด็นผู้ไม่เห็นด้วยกับการกู้เงินโดยมองว่าเศรษฐกิจของไทย ยังสามารถเติบโตได้ ไม่ได้อยู่ในช่วงวิกฤตถึงขนาดที่จะจำเป็นต้องกู้เงิน
นายกฯเศรษฐา ย้ำว่า ตนรับฟังและรับทราบ อีกทั้งอย่างที่ตนบอกอยู่ตลอดเวลาว่าประเด็นอยู่ที่ วิกฤตและจำเป็นหรือไม่ ซึ่งตนถือว่าวิกฤต
“10 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจเราขยายตัว 1.8% แต่คู่แข่งเราไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ขยายตัวเท่าไหร่ ไปดูตัวเลขย้อนหลังมาแล้วกัน
ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอย่างไรบ้าง
ค่าแรงขั้นต่ำขึ้นไม่ได้ ก็เพราะธุรกิจของเราไม่ได้ขยายตัวขนาดนั้น รายได้ขั้นต่ำจาก 300 บาท เป็น 337 บาทถือว่าต่ำมาก
ตนก็เห็นใจผู้ประกอบการทั้งรายกลางและรายย่อยที่ไม่สามารถขึ้นได้ เพราะหลายเหตุผล กว่า FTAจะเจรจาจบใช้เวลาปีถึงสองปี กว่าโรงงานจะมาตั้งได้ก็ใช้เวลาพอสมควร
กว่านโยบายหลายๆ นโยบายจะประสบความสำเร็จได้ก็ใช้เวลา ฉะนั้นแล้วระหว่างนี้เราทำอะไรกัน ก็ฝากไว้แล้วกัน” - นายกฯ เศรษฐากล่าว
3. สมาชิกวุฒิสภา นายสมชาย แสวงการ โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กว่า ฝากคนไทยทุกคนคิด ใช้สมองตรอง แจกเงินดิจิทัลกระตุ้นเศรษฐกิจจริงหรือ
โดยนำเสนอประกอบคำกล่าวของ ดร.สมเกียรติตั้งกิจวาณิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI ที่บรรยายเรื่อง Building a Foundation for Exponential Growth
“นโยบายแจกเงินดิจิทัลโดยมีความเชื่อกันว่าจะสามารถสร้างเศรษฐกิจได้ใหญ่ขึ้นกับเงินที่ใส่ไป ใส่เงินไป 100% แล้วคิดว่า GDP จะโตได้ 3 เท่า 6 เท่า
คือได้ 300% หรือ 600%
ถ้ามีสูตรพิเศษอย่างนี้ในโลกจริง แต่ละประเทศคงไม่ต้องคิดยุทธศาสตร์การพัฒนา
แจกเงินไปเรื่อยๆ ก็คงจะโตไปเรื่อยๆ
และถ้าแจก 10,000 บาท ก็คงจะโตแบบพรวดขึ้นไป” - ดร.สมเกียรติกล่าว
4. ประเด็นว่า เศรษฐกิจวิกฤตจนต้องกระตุกเครื่องยนต์ หรือกระตุ้นด้วยการแจกเงิน 5 แสนล้านบาทจริงหรือไม่ ?
ประการแรก บริษัททั่วไปส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ล้วนมีผลประกอบการมีกำไร
ยกตัวอย่าง
บริษัท SC Asset เพิ่งโชว์ผลงาน 9 เดือนนิวไฮทั้งยอดขายรวมและรายได้จากการขาย โดยมีรายได้จากการดำเนินงาน 15,669 ล้านบาท เติบโต 10% กำไรสุทธิ 1,631 ล้านบาท
บริษัทแสนสิริฯ ก็เพิ่งประกาศกำไร 9 เดือน ปี 2566 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท 39 ปี!!!
โดย “แสนสิริ” ที่นายกฯเศรษฐาเคยเป็นผู้ถือหุ้นและบริหาร ผลประกอบการ 9 เดือนปี 2566 กำไรสุทธิ 4,760 ล้านบาท
และแค่ 9 เดือนของปีนี้ มากกว่ากำไรสุทธิทั้งปีของปีก่อน (2565) ที่ 4,280 ล้านบาท !!!
วิกฤตเศรษฐกิจจริง บริษัทอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ และอีกมากมายหลายแห่ง ในหลายภาคส่วนเศรษฐกิจ จะมีผลกำไร มีรายได้ ประกาศแจกโบนัส ฯลฯ ได้อย่างไร
ประการที่สอง ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจไทย ยืนยันว่า เศรษฐกิจไม่ได้วิกฤต
จากรายงานภาวะเศรษฐกิจไทย ล่าสุด เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มยังฟื้นตัวต่อเนื่อง และไตรมาส 3 ปี 2566 เศรษฐกิจปรับดีขึ้น
โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนไตรมาส 3 ปีนี้ ขยายตัวอยู่ที่ 6.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในเมื่อการบริโภคภาคเอกชนไม่มีวิกฤต แล้วจะไปแจกเงินให้ประชาชนบริโภคเพื่ออะไร ?
รายงานข่าวระบุว่า แหล่งข่าวธปท. ตั้งข้อสังเกตว่า
“มองว่า มีความจำเป็นน้อย โดยเฉพาะการกู้เงินเพื่อแจก ยิ่งไม่จำเป็น เพราะภาคการบริโภคก็ยังขยายตัวอัตราการว่างงานก็ต่ำ ไม่ใช่วิกฤตแน่นอน
วิฤกต คือ มี shock ยิ่งใหญ่ ทำให้เศรษฐกิจหดตัวรุนแรง เช่น ปี 2541 จีดีพีต่ำสุดในช่วงวิกฤต ติดลบ 7.6% ธุรกิจล้มละลายกว้างขวาง คนตกงานมากมาย ต่างชาติหอบเงินกลับ ค่าเงินตกต่ำฮวบฮาบ ระบบสถาบันการเงินอ่อนแอไม่ฟังก์ชั่น
อยากเสนอแนะให้รัฐบาลยกเลิกความคิดการแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ควรให้ความสำคัญในการนำเงิน หรืองบประมาณประเทศไปเพิ่มศักยภาพของประเทศ เพราะจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบยั่งยืนมากกว่า เพราะการแจกเงินอาจทำให้จีดีพีประเทศพองตัวได้ 2-3 ไตรมาส สุดท้ายก็หดตัวกลับไปอยู่ที่ระดับเดิม
การแจกเงิน เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ถ้ากระตุ้นได้จริง ทำไมไม่มีประเทศไหนใช้การแจกเงินเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจ ยกเว้นเกิดวิกฤตช่วงโควิด ซึ่งทำเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ไม่ใช่เพื่อการกระตุ้นอะไร
ส่วนนโยบายแจกคูปองของญี่ปุ่น เป็นการช่วยสวัสดิการ ช่วยครอบครัวที่มีรายได้ต่ำ เขามีหนี้สาธารณะต่อจีดีพี กว่า 260% เศรษฐกิจเซื่องซึมมาหลายสิบปีซึ่งต่างจากเศรษฐกิจไทย
นอกจากนี้ มีความกังวลว่าโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet จะซ้ำรอยโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยุคก่อน”
5. ถ้าดูตามเส้นทางกรรมดิจิทัลข้างล่าง จะเห็นว่า ยังมีการตรวจสอบตามกฎหมาย และสุ่มเสี่ยงที่จะมีคนต้องติดคุกติดตะราง หากเดินหน้าฝ่าฝืนกฎหมาย สร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติ
เริ่มต้นที่กฤษฎีกา จะมีความเห็นว่าอย่างไร
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ตั้งคณะทำงานติดตามตรวจสอบแล้ว
สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ก็ตั้งคณะทำงานตรวจสอบแล้ว
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.ก็ถูกร้องเรียนแล้ว เพราะนโยบายนี้แจ้ง กกต.ว่าจะเอาเงินมาจากการบริหารงบประมาณปกติ ไม่ได้บอกว่าจะต้องกู้เงินถึง 5 แสนล้านบาท
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2561 มาตรา 8 บัญญัติไว้ว่า เพื่อประโยชน์ในการระงับหรือยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐ ให้ผู้ว่าการ สตง. เสนอผลการตรวจสอบการกระทําที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐและอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างร้ายแรง ต่อคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ คตง.เพื่อพิจารณา หากคณะกรรมการเห็นพ้องด้วยกับผลการตรวจสอบ ให้คณะกรรมการจัดให้มีการประชุมร่วมกับ กกต.และป.ป.ช. เพื่อปรึกษาหารือร่วมกัน ในกรณีที่ประชุมร่วมมีมติเห็นพ้องกับผลการตรวจสอบดังกล่าว ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจํานวนกรรมการที่ลงคะแนน ให้ประธานคตง.-ประธาน กกต.และประธาน ป.ป.ช. ร่วมกันลงนามในหนังสือแจ้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบโดยไม่ชักช้า และให้เปิดเผยผลการตรวจสอบดังกล่าวต่อประชาชนเพื่อทราบด้วย
แล้วสภาผู้แทนราษฎรจะว่าอย่างไร วุฒิสภาจะผ่านหรือไม่? ใครจะต้องรับผิดชอบ อย่างไร?
ถ้าผ่านกฎหมายไปได้ ก็คงจะมีการร้องศาลรัฐธรรมนูญ
รวมถึงประเด็นการทุจริตประพฤติมิชอบ หากพบว่ามีการฝ่าฝืนกฎหมาย สร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติ หาก ป.ป.ช.ชี้มูลทางอาญา ก็ต้องไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
สุดท้าย กู้มาแจก 5 แสนล้าน จะจบลงในท่วงทำนอง “อวสานเซลส์แมน” หรือไม่?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี