ทั้งในอนุภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเป็นการทั่วไป ก็คงจะมีแต่ไทยกับเมียนมาเท่านั้น ที่บ้านเมืองยังดูไร้เสถียรภาพ ขณะที่ประเทศรอบบ้านทั้งใกล้และไกล บ้านเมืองของเขาต่างมีเสถียรภาพ เพราะเขาต่างสามารถจัดการรูปแบบโครงสร้างและสาระเนื้อหาของการเป็นรัฐชาติได้ลงตัว หรือนัยหนึ่งมีการเห็นพ้องต้องกันของผู้คนเกี่ยวกับความเป็นรัฐชาติของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นที่มาเลเซีย สิงคโปร์ และอื่นๆ แม้กระทั่งประเทศเกิดใหม่ล่าสุดของภูมิภาคอย่างติมอร์ตะวันออก
ประเด็นปัญหาโดยทั่วไปของทั้งไทย และเมียนมาก็คือ บทบาทของฝ่ายกองทัพที่เข้าไปก้าวก่ายการบริหารการบ้านการเมือง ซึ่งส่งผลต่อความมากน้อยของการเป็นสังคมประชาธิปไตย
ในกรณีของเมียนมานั้น ตั้งแต่ภายหลังการได้รับเอกราชจากอังกฤษเจ้าอาณานิคมเมื่อปี พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) ฝ่ายกองทัพก็เข้ามามีบทบาททางการบ้านการเมืองมาโดยตลอด ถึงขนาดทำตัวเป็นรัฐบาลเองเสียส่วนใหญ่ของเวลาที่ผ่านมา หรือไม่ก็อาจจะมีการจัดแบ่งอำนาจบางส่วนกับทางฝ่ายรัฐบาลพลเรือน หรือไม่ก็หลบกุมบังเหียนอยู่หลังฉากจนเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ก็คงจะเกิดเบื่อหน่ายที่จะแบ่งปันอำนาจกับพลเรือน และเบื่อการนั่งอยู่เบื้องหลังแล้ว จึงลุกขึ้นมาทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจ ซึ่งแม้เวลาผ่านถึง 3 ปี ก็ยังไม่สัมฤทธิ์ผลสมบูรณ์ เนื่องจากต้องมาเผชิญกับสิ่งที่ไม่ได้คาดคิด นั่นคือการต่อต้านอย่างใหญ่หลวงของประชาชนพลเมือง ทั้งที่เป็นชาติพันธุ์พม่าส่วนใหญ่ และชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยต่างๆ
วันนี้ เมียนมาจึงตกอยู่ในสภาวะสงครามกลางเมือง และยังไม่มีทีท่าที่จะสิ้นสุดเมื่อใด และฝ่ายใดจะเป็นผู้แพ้ผู้ชนะ หรือจะตกลงออมชอมกันได้ ประเด็นก็คือ เมียนมาในอนาคตจะเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ที่ฝ่ายกองทัพไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องการเมือง หรือจะเป็นประชาธิปไตยแบบผสมผสานของอำนาจกองทัพกับอำนาจของฝ่ายพลเรือน ก็ยังไม่แน่ชัด
ส่วนที่ประเทศไทยเราตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475จนถึงบัดนี้ ประชาธิปไตยของเราก็ยังล้มลุกคลุกคลานหรือถอยเข้าถอยออก เพราะความไม่ลงตัวของบทบาทของกองทัพเกี่ยวกับความมั่นคง กับคำว่าประชาธิปไตย รัฐบาลพลเรือนบริหารประเทศอยู่ประเดี๋ยวประด๋าว กองทัพไทยก็ออกมารัฐประหารด้วยข้ออ้างพฤติกรรมคอร์รัปชั่นของรัฐบาลพลเรือนเป็นส่วนใหญ่ หรือไม่ก็เพื่อจะหยุดยั้งการเผชิญหน้า การฆ่าฟันระหว่างคนไทยด้วยกัน
ตรงกันข้ามกับในหลายประเทศใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศมาเลเซีย บังกลาเทศ หรืออินโดนีเซีย หรือจะไกลไปหน่อยที่ไต้หวัน และเกาหลีใต้ แม้กระทั่งฟิลิปปินส์ ที่ฝ่ายกองทัพได้เลือกที่จะตีกรอบจำกัดตัวเองให้อยู่ในภาระหน้าที่หลักเท่านั้น ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง โดยปล่อยให้สถาบันการเมืองอื่นๆ รับผิดชอบกับความเป็นไปของบ้านเมืองเองตามครรลองประชาธิปไตย ซึ่งเป็นไปตามความคิดอ่าน และการยอมรับของสังคมโดยทั่วไปว่า ไม่ต้องการให้ฝ่ายกองทัพต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องการบ้านการเมือง
ฉะนั้น ประเทศอื่นๆ จึงไม่มีการเรียกร้องให้ฝ่ายกองทัพออกมาจัดการบ้านเมืองในยามวิกฤต แต่ปล่อยให้เป็นภาระหน้าที่รับผิดชอบของบรรดาผู้นำและสถาบันต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาวิกฤต หรือไม่ก็เข้าป้องกันการฟักตัวของปัญหาวิกฤตแต่เนิ่นๆ
เมื่อประชาชนพลเมืองทุกหมู่เหล่ามีความมุ่งมั่นที่จะเอาฝ่ายกองทัพออกจากการเมืองและร่วมกันเสริมสร้างสังคมประชาธิปไตย ก็มีนัยว่าบรรดาผู้เล่นการเมืองทั้งหลาย ก็ต้องทำหน้าที่อย่างจริงจัง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และหลีกเลี่ยงการสร้างเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การขัดแย้งและการเข้าแทรกแซงต่างๆของกองทัพ ด้วยความจำเป็นหรือเหตุการณ์บังคับไปหรือจะด้วยความทะเยอทะยานก็ตาม
การเมืองไทยไร้เสถียรภาพมาอย่างน้อยก็ร่วม 20 ปีแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ประเทศไทยแสนจะโชติช่วงชัชวาล ทั้งด้วยความเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจ การตลาดเสรี ควบคู่กับการเบ่งบานของสังคมประชาธิปไตย
หากตั้งใจจะแก้ไข ณ ปัจจุบันนี้ ไทยเราก็ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ด้วยการมุ่งใฝ่หาเสถียรภาพแห่งการเมือง ซึ่งก็คงจะต้องเริ่มต้นที่กติกาการเมืองที่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย นั่นคือกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ซึ่งการปรึกษาหารือควรจะเริ่มได้ตั้งแต่บัดนี้ โดยไม่ต้องรีรอสภาร่างรัฐธรรมนูญ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี