โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่พบได้บ่อยมากทั่วโลก ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ สมอง ฯลฯ ตีบและอุดตัน เป็นสาเหตุสำคัญของโรคไตวายเรื้อรัง ซึ่งในที่สุดอาจนำไปสู่การฟอกเลือด หรือการปลูกถ่ายไต ฯลฯ
ประเทศไทยเรามีประชาชนประมาณ 11 ล้านคน ที่มีความดันโลหิตสูง ประมาณครึ่งหนึ่งไม่ทราบว่าตนเองมีความดันโลหิตสูง และหรือการรักษายังไม่เข้าเป้า เมื่อไหร่จึงจะเรียกว่ามีความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตมี 2 ระดับ ระดับบน เรียกว่าsystolic blood pressure ระดับล่างเรียกว่า diastolic bloodpressure ค่าปกติ systolic ควรอยู่ไม่เกิน 120 มม.ปรอท (mmHg)และ diastolic ไม่เกิน 80 มม.ปรอท systolic ระหว่าง 120-129และ diastolic 80-89 มม.ปรอท อาจเรียกว่าสูงของปกติ แพทย์มักจะเขียนง่ายๆ สั้นๆ ว่า 120/80 ซึ่งก็หมายความว่าระดับ systolic คือ 120 ส่วน diastolic คือ 80
ความดันโลหิตมักจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ (รวมทั้งไขมันและน้ำตาลในเลือด) ทั้งๆ ที่ยังไม่มีอาการ ไม่จำเป็นต้องมีอาการปวดหัว เลือดกำเดาออก ฯลฯ ฉะนั้นทุกๆ คนจึงควรตรวจวัดความดันตนเองเมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ปัจจุบันนี้มีที่วัดความดันโลหิตแบบ digital ซึ่งสะดวกสบายมาก ผู้ใดมีญาติที่มีความดันโลหิตสูง จะมีความเสี่ยงต่อการมีโรคความดันโลหิตสูงด้วย ก่อนวัดความดันโลหิตควรนั่งพักเงียบๆ 10 นาที ถ้าเพิ่งออกกำลังกาย รวมทั้งการเดิน หรือวิ่งมาตรวจความดันโลหิตจะพบว่าความดันโลหิตจะสูงได้ ควรวัด 2-3 ครั้ง เพื่อความแน่นอน
ถ้าความดันโลหิตสูง ถ้าอ้วนหรือท้วมๆ ควรลดน้ำหนัก (ความจริงถ้าอ้วน หรือท้วม ถึงแม้ไม่มีความดันโลหิตสูงก็ยังควรลดน้ำหนัก เพื่อป้องกันโรคความดันโลหิตสูงในอนาคต รวมทั้งป้องกันโรคอื่นๆ ที่จะตามมา) และควรออกกำลังกายแบบแอโรบิก(หรือ “cardio”) ซึ่งก็คือเดินเร็วๆ วิ่ง ว่ายน้ำ ถีบจักรยาน กระโดดเชือก ฯลฯ หรือการออกกำลังกายอะไรก็ได้ที่ทำได้นานพอโดยไม่หยุด (30-60 นาที) หนักพอ และบ่อยครั้งพอ/5 ครั้งต่อสัปดาห์ หนักพอ คือ ออกกำลังกายจนหัวใจหรือชีพจรเต้นประมาณ 70% ของความสามารถสูงสุดที่หัวใจจะเต้นได้ สำหรับอายุคนคนนั้น วิธีคำนวณความสามารถสูงสุดที่หัวใจจะเต้นได้ หรือ maximal heart rate, MHR คือ เอา 220-อายุเป็นปี เช่น คนอายุ 30 ปี จะมี MHR คือ 220-30 คือ 190 ครั้ง/นาที แต่ในการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพควรออกกำลังให้หัวใจเต้นเพียง 70% ของ MHR (ระหว่าง 50-85% ของ MHR) ในทางปฏิบัติ เวลาออกกำลังกายไม่ต้องวัดชีพจร เพราะวัดไม่ได้อยู่แล้ว ยกเว้นมีเครื่องที่วัดโดยเฉพาะ แต่การเดินเร็วๆ วิ่ง กระโดดเชือก ฯลฯ หัวใจจะเต้นเข้าเป้าอยู่แล้ว
นอกจากการออกกำลังกาย ลดน้ำหนักแล้ว ยังควรคุมอาหารด้วย เพื่อช่วยลดน้ำหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องกินเค็มให้น้อยที่สุด ง่ายๆ คือไม่ใส่เกลือ น้ำปลา ซีอิ๊ว มากเกินไปในการปรุงอาหารและไม่ควรมีอะไรเค็มๆ บนโต๊ะอาหาร เช่น น้ำปลา ซีอิ๊ว แม็กกี้ ฯลฯWHO แนะนำว่าในแต่ละวันควรกิน sodium (Na) ไม่เกิน 2,000 มก.ซึ่งก็คือ เกลือ 5 กรัม หรือเกลือ 1 ช้อนชา หรือน้ำปลา 3 ช้อนชา
ถ้าไม่กินเค็มมาตั้งแต่เกิด โรคความดันโลหิตสูงอาจหายไปจากโลกนี้
ถ้ารักษาโรคความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว แต่ความดันไม่ลงจะทำอย่างไร (เอกสารอ้างอิง Harvard Medical School,Harvard Letter Vol.47, Number2 December 2021) อย่าลืมนะครับว่า ½ ของคนไทยที่มีโรคนี้ ไม่ทราบว่าตนเองมีโรคนี้มาก่อน และหรือการรักษายังไม่เข้าเป้า
บางคนกินยาลดความดันอยู่แล้วถึง 3 ตัว ยังเอาไม่อยู่ต้องดูตนเองว่ากินเค็มไหม อ้วนไหม ออกกำลังกายไหม กินยาอะไรอยู่ ยาบางตัวที่กินสำหรับโรคอื่นๆ เช่น ยาในกลุ่ม NSAIDs (non steroidal inflammatory drugs) ยาลดน้ำมูก(ที่มี phenylephrine) ยาคลายเครียด ยา corticosteroids ฯลฯ อาจทำให้มีความดันโลหิตสูงได้
นอกจากนั้นควรดูว่าตนเองนอนกรนหรือเปล่า ถ้านอนกรนและหยุดหายใจ อาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูงได้ มีชีพจรเต้นผิดปกติได้ (และยังมีความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ มากมาย) ถ้านอนกรนควรปรึกษาแพทย์โรคปอด
นอกจากนั้น ควรนอนให้พอ ประมาณ 7 ชั่วโมงไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ มีการศึกษาว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 40 นาที/ครั้ง 3 ครั้ง/สัปดาห์ 12 สัปดาห์จะช่วยลดความดัน systolic ได้ 7 มม.ปรอท และ diastolic ได้ 5 มม.ปรอท
สาเหตุต่างๆ ของ “resistant hypertension”(โรคความดันโลหิตที่ดื้อต่อการรักษา) คือ มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นนอนกรนและหยุดหายใจ แอลกอฮอล์ มีอาการปวดเรื้อรังมีโรคหลอดเลือดตีบ ทำให้มีการอักเสบของผนังหลอดเลือดภาวะแทรกซ้อนจากยาต่างๆ panic attack มีระดับhormone aldosterone สูง (ทำให้ร่างกายเก็บ Na และน้ำ)ปัญหาเกี่ยวกับโรคไต และการกิน licerice (ชะเอม) ที่จะทำให้ความดันสูงได้
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี