มนุษย์แวดล้อมด้วยสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน สัตว์เลี้ยงเป็นอาหาร สัตว์ที่แอบมาอาศัยอยู่ และไกลออกไปหน่อยก็เป็นสัตว์ป่า แต่ทั้งหมดนี้ต่างเป็นพาหะซึ่งกันและกัน ถึงต้องอยู่กันด้วยความระมัดระวัง ทั้งคนทั้งสัตว์เลี้ยงต่างๆ ก็ต้องฉีดวัคซีน และอยู่กันอย่างเป็นที่เป็นทางด้วยความเป็นระเบียบและสะอาดสะอ้านและในขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่ไปเบียดเบียนสัตว์ป่า เพราะจะไปกระทบกับความหลากหลายและความสมดุลทางธรรมชาติแวดล้อม และยิ่งไปรังแกด้วยการไปนำมากักขัง และมาบริโภค ก็เท่ากับไปเชื้อเชิญภยันตรายเข้ามาสู่ตัว เพราะไม่รู้ว่าสัตว์ป่าต่างๆ เหล่านั้นมีเชื้อโรคเชื้อราอะไรบ้างอยู่ในตัว จะพอรู้บ้างความรู้นั้นก็ยังจำกัดอยู่ ยังจะต้องมีการค้นคว้าวิจัยอย่างไม่ลดละ
โลกไข้หวัดต่างๆ ก็มักจะมาจากสัตว์ใกล้ตัว แต่ล่าสุดโรคโคโรนาไวรัส หรือโควิด-19 มาจากค้างคาว เพราะมนุษย์ไปจับมา เพื่อเอามาขัง เอามาอยู่ร่วมกันกับสัตว์เลี้ยงสัตว์ป่าอื่นๆ เพื่อนำมาบริโภค คนเลี้ยง คนฆ่า ก็ต้องสัมผัสกับสัตว์เหล่านี้ก่อนที่จะไปถึงมือผู้บริโภค แต่สัตว์ป่าเหล่านี้จะมาถึงตลาดและโต๊ะอาหารได้ ก็จะต้องไปแอบกวาดต้อนและไปลักลอบมาแบบข้ามน้ำข้ามทะเล เพราะประเทศผู้บริโภคมักจะไม่มี หรือขาดแคลน ส่วนการบริโภคนั้นก็ด้วยความอยาก ความกระหาย กับของแปลกๆ หรือไม่ก็ด้วยความเชื่อว่า สัตว์ป่า สัตว์แปลกๆ สัตว์หวงห้ามใกล้สูญพันธุ์จะมาเป็นยาวิเศษ ทั้งที่ในเนื้อแท้ก็เป็นแค่โปรตีนชนิดหนึ่งเท่านั้น ไม่ผิดไปจากเนื้อสัตว์ธรรมดาอื่นๆ ที่บริโภคกันอยู่และคุ้นเคยกันมานมนานแล้ว ความเชื่อว่าสัตว์ป่า สัตว์หวงห้าม ใกล้สูญพันธุ์เป็นยาวิเศษ จึงไม่มีบทวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ว่าคุ้มค่าตามสรรพคุณจริงๆ โดยไม่คำนึงกันว่ามีภยันตรายแฝงอยู่มากมาย และเมื่อเกิดขึ้นก็กลายเป็นโรคระบาดกระเทือนกันไปทั่วโลก
ในอดีต โลกระบาดก็จะเกิดขึ้นในพื้นที่เฉพาะ หรือจะขยายตัวไปก็ไม่มากมาย แต่การวิวัฒนาการทางด้านคมนาคมสัญจรไป-มา ก็ช่วยเร่งขยายการแพร่ของโรคระบาด เมื่อ 500 ปีมาแล้ว ชาวตะวันตกเริ่มสามารถเดินเรือได้รอบโลก หนูที่ติดมาบนเรือก็เป็นพาหะให้โรคต่างๆ แพร่ขยายไปทั่วโลก มาบัดนี้การเดินทางทั้งทางอากาศ ทางเรือ และทางบก เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งผู้คนก็เดินทางออกไปท่องเที่ยว ไปทำธุรกิจกันมากมาย อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า จึงเป็นตัวสำคัญยิ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก แต่เมื่อมีโรคระบาดธุรกิจเหล่านี้ก็จะได้รับผลกระทบเป็นอันดับแรก และที่สำคัญไปกว่านั้น จีนเป็นบ่อเกิดของโรคโคโรนาไวรัส และจีนเป็นเศรษฐกิจใหญ่เป็นที่สองของโลก จีนเป็นโรงงานสินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าอุปโภคบริโภคใหญ่ที่สุดของโลก อีกทั้งคนจีนเป็นร้อยๆ ล้านคน เดินทางไปท่องเที่ยว ไปทำธุรกิจ และไปศึกษาอยู่ในต่างประเทศทั่วโลก และคนทั้งโลกก็มุ่งไปเที่ยวเมืองจีนมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ฉะนั้นเมื่อจีนเป็น “ที่สุดของโลก” เหตุการณ์หนึ่งใดของจีนก็จะมีผลกระทบทั้งโดยตรงและโดยทางอ้อมอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ด้วยการข้องแวะของผู้คน ด้วยความรวดเร็วของการสัญจรไป-มาฉะนั้นในกรณีของโรคระบาดโคโรนาไวรัส จีนต้องปิดประเทศไปค่อนประเทศ และจีนต้องปิดโรงงานและธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงเรื่องการท่องเที่ยวก็ต้องหยุดไปด้วย ก็มีผลกระทบกันไปทั่วโลก มิใช่การระบาดของตัวโรคเท่านั้น แต่เศรษฐกิจของโลกซึ่งมีลักษณะเป็นห่วงโซ่ มีความพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันแบบไร้พรมแดน
ก็แน่นอน การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าคือเรื่องโรคระบาด จะต้องเร่งรีบดำเนินการทั้งการลด การตีกรอบ และการขจัด และการป้องกันในอนาคต ซึ่งรัฐบาลจีนก็ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ แม้จะล่าช้าไปหน่อยในระยะแรกๆ และรัฐบาลของประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่เผชิญกับโรคระบาดนี้ ก็เร่งดำเนินการอย่างคึกคักขะมักเขม้น และเริ่มให้ความร่วมมือช่วยเหลือต่อกันและกัน
แต่ก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งด้วย ก็คือการยกเลิกและการห้ามมิให้มีการบริโภคสัตว์ป่าและสัตว์หวงห้ามใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อมิให้เป็นแหล่งกำเนิดของโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งจีนและรองลงมาเวียดนาม ก็ได้เริ่มดำเนินการบ้างแล้ว คือการปิดตลาดสดที่ค้าขายสัตว์ป่า สัตว์หวงห้ามต่างๆ เมื่อปิดตลาดสดได้ การค้าขายภายในประเทศและระหว่างประเทศ ว่าด้วยสัตว์ป่า สัตว์หวงห้าม ซึ่งผิดพันธกรณีระหว่างประเทศ และผิดกฎหมายภายในก็จะดำเนินการไม่ได้ และนัยที่สำคัญก็คือ ขบวนการอาชญากรรมทางด้านนี้ก็จะตกงาน ในขณะเดียวกันก็จะช่วยในเรื่องความสมดุลความหลากหลายทางชีวภาพ หรือความยั่งยืนของธรรมชาติแวดล้อม และเป็นการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์ป่าได้อย่างไม่เบียดเบียนกัน
สำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศทางผ่านของขบวนการการลักลอบและค้าขายสัตว์ป่าและสัตว์หวงห้าม คือรับสินค้าสัตว์ทั้งตัวเป็นๆ ทั้งที่หั่นเป็นชิ้นทั้งสดทั้งตากแห้ง ไปจนถึงชิ้นกระดูก งา นอ เขา และที่บดเป็นผง จากทวีปแอฟริกา เอเชีย และอเมริกาใต้ไปสู่ประเทศจีนเป็นสำคัญ ก็ต้องเอาจริงเอาจังในการปราบปราม และในขณะเดียวกันก็ควรจะทบทวนกฎหมายที่อาจจะมีช่องโหว่ เช่น การอนุญาตให้มีการเพาะพันธุ์สัตว์ป่า หรือการเปิดตลาดค้าสัตว์ เช่น ที่ตลาดนัดจตุจักร กรุงเทพฯ ไปจนถึงการเปิดโอกาสให้บุคคล แม้กระทั่งพระสงฆ์องค์เจ้าเลี้ยงสัตว์ป่าไว้ได้ด้วย ซึ่งเรื่องต่างๆ เหล่านี้ต้องมีการให้ยกเลิกให้หมดเพราะนอกจากจะผิดกฎหมายระหว่างประเทศที่ไทยมีพันธกรณีแล้ว ที่สำคัญก็คือ ศีลข้อแรก ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพราะหากปล่อยปละละเลยกันต่อไปก็จะเท่ากับว่าเรากำลังเพาะเลี้ยงโรคภัยไข้เจ็บไว้ในหมู่มวลคนไทยอย่างไม่รู้ตัว
บทเรียนจากกรณีโคโรนาไวรัส น่าจะเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่ไทยเราจะแก้ไขประเด็นปัญหา ป้องกันภยันตรายในอนาคต และกระชับความร่วมมือกับมิตรประเทศและประชาคมโลก
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี