วิกฤติการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กำเนิดในสาธารณรัฐประชาชนจีนและแพร่ระบาดไปทั่วทุกภูมิภาคของโลกใบนี้ ระลอกแล้วระลอกเล่าจนถึงวันนี้ก็ยังไม่จบไม่สิ้นการสูญเสียประชากรโลกไปกว่า เกือบสองล้านคนนั้นไม่ใช่ความเสียหายที่ต้องจารึกไว้มากมายนัก แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลกนั้นสาหัสสากรรจ์ยิ่งกว่านัก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยที่มีผลลัพธ์ของการต่อสู้ป้องกันพิษภัยของ โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นลำดับต้นๆ ของโลก ได้รับความชื่นชมจากองค์กรโลกอย่าง องค์การอนามัยโลก ได้รับการติดต่อจากชาติมหาอำนาจในเรื่องของมาตรการและการดำเนินการ
นามธรรมที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะประเทศชาติไม่ได้ร่มเย็นเป็นสุขเพียงแค่ลมปากที่หวานหูของประชาคมโลก แต่รูปธรรมคือหน้าที่สำคัญที่ทหารแก่และพวกพ้องสมควรต้องเร่งแสดงความรู้ความสามารถโชว์มันสมองว่า ทหารอาชีพและทีมงานรัฐมนตรีทั้งเก่าและใหม่ก็มีมันสมองมากพอที่จะทำให้ประชากรไทยกินดีอยู่ดี อัตราการว่างงานไม่สูง ยุวชนเยาวชนมีความมั่นใจในอนาคตเมื่อจบการศึกษา ไม่ต้องหลงเหลี่ยมเป็นมือไม้เป็นเครื่องมือให้คนอาชีพนักการเมืองชังชาติใช้เป็นที่แอบซุกหลบซ่อนอยู่ใต้ผ้าถุงใต้กระโปรงราวไรโลน
มาตรการเปิดประเทศให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเดินหน้า สร้างรายได้พลิกฟื้นธุรกิจการท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่อง โดยเฉพาะการอนุญาตให้นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาท่องเที่ยวเป็นชุดแรกจำนวนกว่า 120 คน ที่เกาะภูเก็ตในเดือนตุลาคมนี้ เป็นปฐมบท อย่าลืมว่ารายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวคือรายได้หลักที่เข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจและประเทศไทยมาตลอดภูเก็ตสร้างรายได้ให้ประเทศไทยราว 4.4 แสนล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยวกว่า 14 ล้านคน ทั้งคนไทยและต่างชาติ เมื่อเกิดรายได้ในเกาะภูเก็ตย่อมหมายถึงคนท้องถิ่นอื่นที่เคยทำมาหากินในธุรกิจต่างๆ ก็จะกลับมาสร้างรายได้ให้ตนเองและคืนสู่ถิ่นกำเนิดได้เช่นเดิม เมื่อท่องเที่ยวภูเก็ตกลับมาฟื้นคืนชีพท้องถิ่นใกล้เคียงที่มาสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ อาทิ พังงา ตรัง กระบี่ ก็น่าจะรับอานิสงส์ตามไปด้วย
แน่นอนเมื่อเกิดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ความตื่นตระหนก ความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งทหารแก่ได้ประกาศอย่างมั่นใจว่าสามารถดูแลป้องกันไม่ให้เชื้อร้ายกลับมาทำลายความเป็นอยู่ของคนไทยได้ เช่นเดียวกับ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิตปลัดสาธารณสุขออกมาตอกย้ำในวันมอบนโยบายให้แก่กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ออกมาตอกย้ำด้วยนโยบายเร่งด่วน 4 ข้อ โดยเฉพาะในเรื่องของโควิด-19 ว่า การรับมือกับโควิด-19 ระลอกใหม่ จะมีการทำฉากทัศน์ที่ชัดเจนเพื่อให้ประชาชนเห็นภาพการระบาดที่อาจเกิดขึ้น เมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการของประเทศมากขึ้นยืนยันว่าจะไม่มีการปิดบ้านปิดเมือง หากมีการติดเชื้อหรือระบาดเกิดขึ้น สามารถควบคุมโรคได้ให้อยู่ในวงจำกัด ที่สำคัญคือ ขอมอบนโยบายให้ชาวกระทรวงสาธารณสุขให้สวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ประชาชน
ยิ่งล่าสุด รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาลแถลงข่าวว่ารัฐบาลสามารถส่งออกมรดกล้ำค่าทางธรรมชาติของไทย “สมุนไพร” ไปจำหน่ายต่างประเทศสร้างรายได้กว่า 3.6 แสนล้าน ถือเป็นเรื่องที่ดีที่เสมือนเปิดช่องให้เเศรษฐกิจประเทศสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ยิ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการปลูกและการผลิตสินค้าสมุนไพรให้มีคุณภาพระดับสากล เพราะเล็งเห็นศักยภาพในการเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้แก่ประเทศยิ่งทำให้เกษตรกรไทยมีทางเลือกที่เป็นทางรอดมากขึ้น ยอดการส่งออกยังขยายตัวกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะตลาด จีน อเมริกาและเวียดนาม รวมถึงให้การสนับสนุนทุกหน่วยงานในการต่อยอดการดำเนินการตามแผนแม่บทว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรแห่งชาติฉบับที่ 1 ปี 2560-2564 ซึ่งกำหนดเป้าหมายให้เพิ่มมูลค่าการบริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพรจาก 1.8 แสนล้านบาท เป็น 3.6 แสนล้านบาท ในปี 2564 และให้ไทยเป็นผู้นำการส่งออกสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ฯ เป็นอันดับ 1 ในอาเซียน สมุนไพรที่ได้รับความนิยมระดับ Product Champion ได้แก่ ขมิ้นชันไพล กระชายดำ และใบบัวบก และที่กำลังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เช่น ฟ้าทะลายโจร ขิง กระเทียม
ถ้าทหารแก่รักครอบครัว และรักประเทศชาติประชาชนเหมือนครอบครัว เชื่อว่า เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังจะเป็นวรรคทองของรัฐบาลต่อยอดเผด็จการนี้ ที่ทำให้ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี