“หากจะแก้ปัญหาเรื่องการจัดสรรงบประมาณ ผมมองเป็นเรื่องยาก เพราะหลายปัญหา มันคงอยู่ด้วยอำนาจที่ค้ำยันมาอย่างแข็งแรงมาก ผมยกตัวอย่างสนุกๆ
คุณรู้ไหม ประเทศไทยมีส่วนราชการที่ชื่อว่า “กรมหม่อนไหม”กรมนี้มีงบประมาณ 560 ล้าน คุณลองคิด แล้วหาคำตอบให้ผมที ว่า ทำไมประเทศไทยต้องมีงบฯ ให้กรมหม่อนไหมมากขนาดนี้ ถ้าเทียบกับกรมปศุสัตว์ที่ดูแลทั้งหมู ม้า แกะ แพะ วัว นมวัว เนื้อวัว ไก่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับปากท้องของประชาชน แต่มีงบประมาณเพียง 5,840 ล้าน แต่กรมหม่อนไหม ได้รับงบประมาณมากกว่า 560 ล้านบาท แล้วหากคุณลองไปดูต่อ ก็จะพบว่า กรมหม่อนไหมนั้น ไปส่งเสริมเชิงวัฒนธรรมให้กับคนบางกลุ่มได้ผลประโยชน์ อาจจะไม่ใช่เชิงเศรษฐกิจ แต่ในเชิงของการสร้างอำนาจ กรมนี้จึงคงอยู่และได้งบประมาณสูงขนาดนี้”
นี่คือข้อความที่เพจ The Momentum ตัดตอนมาจากการให้สัมภาษณ์ของ “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า ผู้แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว กับกางเกงสแลค และเหน็บปากกาสามด้าม เป็นอาภรณ์หลัก
ธนาธร คงไม่เคยไปเดินงานโอท็อป ไม่เคยไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ผ้าในพระบรมมหาราชวัง ไม่เคยไปชมงานศิลป์แผ่นดิน ที่ศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด อยุธยา จึงไม่รู้ค่าของ “งานหัตถศิลป์” ที่เป็นภูมิปัญญาของคน เป็นตัวตนของชาติ และได้รับการรื้อฟื้น สานต่อ ด้วยการอุปถัมภ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์
สิ่งที่ธนาธรแสดงความเห็นนี้ มีคนกล่าวถึงเขาอย่างน้อยจาก 2 แหล่งข้อมูล
1) เฟซบุ๊คแฟนเพจ “ผึ้ง ณ. ขวัญข้าว”ซึ่งระบุว่าตนเองทำงานอยู่ในสังกัด “กรมหม่อนไหม” ก็ได้มีการโพสต์ข้อความถึงเรื่องนี้ และได้รับการส่งต่อไปในวงกว้าง โดยระบุว่า...
“เมื่อวานได้ข่าวสะเทือนใจคนทำงาน ตอนแรกก็แชร์เพราะรู้สึกอยากระบายอยากให้เข้าใจ แต่พอมาคิดซักพักสิ่งที่เราทำมันเป็นการเพิ่มยอดแชร์ให้คนๆ นั้น ตัดสินใจลบ... อย่าให้ค่าและราคาเขาอีกเลย (ขีดเส้นใต้ว่าตลอดกาล)
หน่วยงานเล็กๆ ที่มีหน้าที่ดูแลกลุ่มคนที่ไม่มีใครให้ความสนใจ โดยเฉพาะจากนักการเมือง ถูกหยิบออกมาสร้างวาทกรรม เสียดสี หวังให้สะเทือนถึงดวงดาว จนลืมไปว่า...สิ่งที่พูดนั้นมันทำให้เห็นถึงจิตใจที่แท้จริงของผู้พูด
หน่วยงานเล็กๆ ที่งบประมาณถูกตัดลงทุกปีๆมีคำอธิบายว่าต้องการให้เป็นหน่วยงานตัวอย่างที่ใช้งบน้อยแต่สามารถทำงานได้ คนทำงานกัดฟันตั้งใจทำงานใช้สรรพกำลังกาย ใจ สมอง ทำงานให้เต็มความสามารถ เพราะเราจะไม่ทอดทิ้งเกษตรกรแม้แต่คนเดียวให้อยู่เพียงลำพัง
ไม่ใช่แต่การอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่เป็นการรักษาสมบัติภูมิปัญญาของชาติ ที่เกี่ยวพันไปถึงหลากหลายมิติให้มีอยู่มีกินมีรายได้ แม่ๆ ป้าๆ บอกเราเสมอว่าที่มีอยู่มีกินมีเงินส่งลูกเรียนสูงๆ ล้วนมาจากผ้าไหมผืนงามที่ทอขึ้นมา
อาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ไม่ใช่ได้แค่ผ้าไหม แต่ยังมีทั้งอาหาร ยารักษาโรค เครื่องสำอางประทินผิว และอื่นๆ อีกมากมาย ที่นำมาซึ่งรายได้ของคนที่เป็นเกษตรกร ไปจนถึงการสร้างรายได้และสร้างอาชีพให้กับคนในเรือนจำ และเส้นไหมเล็กๆ นี่แหละ ที่ช่วยชีวิตคนในห้องผ่าตัดยื้อชีวิตจากความตาย!
หน่วยงานนี้มีมาตั้ง 100 ปี ถูกยุบบ้างพองบ้างตามการเมือง แต่งานก็ยังคงทำอยู่ไม่เคยเกี่ยงงอนใดๆ
การทำงานท่ามกลางความขาดแคลน ต้องใช้หัวใจและกำลังใจในการทำ หลายครั้งควักไส้ควักพุงควักหัวใจตัวเองด้วยความเต็มใจ ออกไปทำงานออกไปสอนชาวบ้านแค่อยากให้เขามีความรู้มีชีวิตที่เป็นอยู่ดีขึ้น
นักการเมืองนักธุรกิจ คงไม่เคยรู้...เบื้องหลังผ้าไหมผืนงามที่สวมใส่ประดับบารมี มีความหวังมีความตั้งใจของหลายๆ ชีวิตอยู่ในนั้น ชีวิตเล็กๆ ที่มักจะถูกหยิบยกมาสร้างวาทกรรมต่างๆ นานา และสัญญาว่าจะทำให้คนรากหญ้ามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
เราเชื่อว่าเขามีความเก่งมีความสามารถ ถ้าเขาเอามาช่วยพัฒนาให้มันดีขึ้น มันต้องดีอย่างมากมายมหาศาล ดีกว่าการพูดเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์บนความแตกแยก
แม้ว่าในใจมีคำพูดเป็นล้านๆ คำ แต่ก็ช่างแม่งมันเถอะ ทำงานของตัวเองไปให้ดีที่สุด และเราเชื่อว่าพี่น้องในกรมของเราก็คิดแบบเดียวกัน
กรมที่ฉันอยู่ชื่อ “กรมหม่อนไหม” เป็นหน่วยงานที่แทบจะไม่มีการเปิดสอนวิชาใดๆ ที่เกี่ยวข้อง ทุกคนต้องมาเรียนรู้ด้วยตัวเอง วิจัยและพัฒนาให้มันดีขึ้นนักวิชาการเกษตรที่ต้องปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ปรับปรุงพันธุ์สาวไหม ย้อมสี ทอผ้า และแปรรูปเป็น! ทั้งๆ ที่จบเกษตร แต่ต้องมีความรู้ทั้งทางสิ่งทอ อาหาร วิศวกรรม อุตสาหกรรม ไปจนถึงการแพทย์!
ผ้าไหมผืนหนึ่ง หาใช่แค่ถักทอเส้นใย หากแต่ถักทอชีวิตและความเป็นอยู่ของคนที่เป็นประชาชนเข้าไปด้วย
สำหรับกรมหม่อนไหมนั้น เดิมเรียกว่า “กรมช่างไหม”ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2446 โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งในอดีตให้ความสำคัญเรื่องไหมเป็นอย่างมาก แต่ในระยะต่อมาได้มีการยุบกรมดังกล่าวเข้ารวมเป็นกอง ในสังกัดกรมกสิกรรม
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ตามพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถฯจึงได้มีการยกฐานะสถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถฯในขณะนั้นสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดตั้งเป็น “กรมหม่อนไหม” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์ ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาในเรื่องของหม่อนไหมและเส้นใยต่างๆ
ทั้งนี้ กรมหม่อนไหม แบ่งการบริหารออกเป็นหน่วยงานในส่วนกลาง 4 สำนัก 2 กลุ่ม หน่วยงานที่ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาค ประกอบด้วยสำนักงานหม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถฯ5 สำนักและศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถฯ 21 ศูนย์ทั่วประเทศ
2) เฟซบุ๊ค “ศักดา แสงกันหา มิสเตอร์ผ้าไหม –โคราช” นำเสนอบทความเรื่อง กรมหม่อนไหมคือ “โอกาส” มิใช่ภาระของชาติ อย่างที่เขาถากถาง! ความว่า...
จากกรณีมีคนตั้งคำถามทำร้ายหัวใจพวกเราชาวอีสาน ชาวเหนือผู้ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และได้รับโอกาสในการทำงานร่วมกับ “กรมหม่อนไหม” มายาวนานนับชั่วคน กับคำถามที่ว่า... “..ทำไมต้องมีกรมหม่อนไหม ไปส่งเสริมปศุสัตว์ประมง ดีกว่ามั้ย?”
คำถามคำนี้ใจร้ายมาก เปี่ยมไปด้วยอคติ ความตื้นเขินทางความคิด และขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อ วิถีชีวิตของคนไทยโดยเฉพาะพี่น้องของผมที่ภาคอีสาน และภาคเหนือ
ผม “ศักดา แสงกันหา” ผมโตมากับต้นหม่อนและตัวไหม ผมกับแม่ เราเป็นเกษตรกร เราปลูกหม่อน เลี้ยงตัวไหม ทอผ้าขาย นี่คือชีวิตของเรา นี่คือวิถีชีวิตของครอบครัวอีกหลายครอบครัว และนี่คือคำดูถูกที่พวกเรา รับไม่ได้!
ผ้าไหมกับวิถีชาวบ้าน : ผมเกิดและเติบโตมาในภาคอีสาน ตั้งแต่เล็กจนโตเห็นการใช้ผ้าไหมในวิถีชีวิตต่างๆ โดยในสมัยก่อนผ้าไหมไม่ได้เป็นสินค้าในการจำหน่ายซะทีเดียว แต่การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมจะเป็นอาชีพเสริมที่ผู้หญิง จะต้องทำผ้าไหมหรือผ้าฝ้าย เพื่อใช้ในพิธีการต่างๆ เช่น งานแต่งงาน ใช้เป็นเครื่องไหว้ต้อนรับ
ผู้ใหญ่ของอีกฝ่าย และตัดชุดซึ่งคิดว่าเป็นชุดที่สวยที่สุดในวันสำคัญของชีวิต ต่อมาหากมีลูกเป็นผู้ชาย ก็จะนำผ้าไหม ให้ลูกใช้ใส่เป็นนาคก่อนบวช หรือนำไปตัดเป็นผ้าไตรให้ลูกสำหรับใช้บวช นอกจากสองพิธีที่กล่าวมาข้างต้น ในงานมงคลต่างๆ ทางศาสนา ก็จะมีผ้าไหมเป็นองค์ประกอบอยู่เสมอๆ เพื่อสื่อว่า “ผ้าไหมคือผ้า
ที่ดีที่สุด มงคลที่สุด” และเมื่อถึงวาระสุดท้าย คุณค่าอันสูงสุดของวิถีชีวิตของพวกเรา ผ้าไหมใช้ห่ออัฐิของบิดามารดาเพื่อเก็บไว้ประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป
ผ้าไหมกับการสร้างรายได้และอาชีพ : การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในปัจจุบัน ในหมู่บ้านของผมนั้น ผ้าไหมแทบจะกลายเป็นรายได้หลักในยามที่มีวิกฤติ โรคระบาดเช่นนี้การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมสามารถสร้างรายได้ได้ตั้งแต่ ใบหม่อน ราคารับซื้อในปัจจุบันตอนนี้อยู่ที่กิโลกรัมละ10-30 บาท โดย 1 ไร่ สามารถผลิตใบหม่อนได้เกือบ 5,000 กิโลกรัมในตลอดทั้งปี ต่อมาคือการเลี้ยงไหม
ชาวบ้านเริ่มด้วยการ ซื้อไข่ไหมราคาเป็นธรรมจากกรมหม่อนไหมมาในราคา 15-20 บาท หรือบางครั้งมีการแจกให้ฟรี ไข่ไหมหนึ่งแผ่น(ขนาดเท่ากระดาษเอสี่)
สามารถเลี้ยงและสาวเป็นเส้นไหมได้ 4-6 กิโลกรัม เส้นไหมราคาปัจจุบันอยู่ที่ กิโลกรัมละ 1,400-1,600 บาท นอกจากเส้นไหมที่ขายได้แล้วดักแด้ ซึ่งเป็นของเสียจากกระบวนการผลิตเส้นไหมยังสามารถนำมาประกอบเป็นอาหารได้ สามารถขายได้ในราคากิโลกรัมละ 80-120 บาทไข่ไหม 1 แผ่น จะสามารถได้ดักแด้ประมาณ 10-20 กิโลกรัม หลังจากเราได้เส้นไหมมาแล้วเราจะนำเส้นไหมไปผ่านกระบวนการต่างๆ เช่น การฟอกกาวไหม ย้อมไหมมัดหมี่ และสุดท้ายทอออกมาเป็นผ้าไหม ซึ่งสามารถขายได้ตั้งแต่ราคาเมตรละ 400 บาท จนถึงราคาเมตรละหลายหมื่นบาทไปจนถึงเมตรละเป็นแสนก็มี
ภูมิปัญหาท้องถิ่น คือ โอกาสที่ต้องส่งเสริม : เทคนิคที่พูดถึงนั้น ก็หมายถึงภูมิปัญญาของชาวบ้านที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ที่เป็นสิ่งล้ำค่า สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมทอผ้า แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นของพระราชินีในรัชกาลที่ 9ที่พระองค์ท่านได้นำภูมิปัญญาการทอผ้าไหมของไทยไปตัดเป็นชุดฉลองพระองค์และเผยแพร่ให้กับคนทั่วโลกได้รับรู้ถึงความงามของผ้าไหมไทยและภูมิปัญญาในการทอผ้าของไทย
การทำงานร่วมกับ กรมหม่อนไหม : “กรมหม่อนไหม” ได้มีส่วนสำคัญในการเข้ามาพัฒนาสายพันธุ์ของไหมไทย เพื่อให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงไหมให้ได้ผลผลิตที่มากขึ้น และยังสนับสนุนส่งเสริมด้านต่างๆ อีกมากมาย เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้มีคุณภาพและมาตรฐานให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล รวมไปถึงการประสานงานช่วยหาตลาดร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ อีกด้วย
หม่อนไหม คือ โอกาสของประเทศ : ผมเคยอ่านเจอวิสัยทัศน์หนึ่งของผู้บริหารประเทศเมื่อ 10 ปีก่อน ที่พูดถึง “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ผมอยากจะบอกว่า นี่คือโอกาสของประเทศ ไหมไทย คือโอกาสของเกษตร ของคนไทย เราสร้างมูลค่าเพิ่มมากมายได้จากอุตสาหกรรมสิ่งทอ และโดยเฉพาะจากผ้าไหม
เทียบงบประมาณปีล่าสุด กรมหม่อนไหม ได้รับงบ 560 ล้านบาท เพื่อดูแลเรื่องนี้ทั้งระบบ แต่รายได้ของการขายผ้าไหม และผลิตภัณฑ์ต่างไหมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ยา หรือเครื่องนุ่งห่ม เราสร้างรายได้รวมเข้าประเทศได้หลักหมื่นล้าน
ใครที่จะมาเป็นนักการมือง หรือเป็นผู้บริหารประเทศไทยต่อไป ยิ่งต้องมองเป็น “โอกาส” หาใช่การผลักไสวิถีชีวิตของพวกเราไปเป็นเรื่องตลก หรือมองเป็น “ภาระ” และท่านจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากเสียงของพวกเราอีกเลย
3) แค่สองมุมที่หยิบยกมา ก็เห็นชัดแล้วว่า ธนาธรจมอยู่กับ “ความเขลา” และดิ่งลึกลงไปด้วย “อคติและความพยาบาท”
ธนาธรต้องถอด “หัวใจจักรกล” ของตนออกมาชำระล้าง ทำความสะอาดบ้าง เผื่อจะช่วยลดความหยาบกระด้างที่มีต่อ “งานทำมือ” ของคนตัวเล็กตัวน้อยที่รังสรรค์ขึ้นจนได้ผ้าผืนงามอย่างวิเศษ มูลค่าสูง
และธนาธรต้องหมั่นปิดโหมดออโต้ ที่เกี่ยวกับ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ที่ชำรุดฝังใจอยู่นั้น เพื่อจะลดทอนความคับแคบ ไร้ศรัทธา ของจิตใจ เพื่อจะได้เห็นโลกกว้างขึ้น ไม่มืดบอดเพราะถูกบดบังด้วย “ความไม่ชอบ”
ทั้งสองแหล่งข้อมูลให้ประเด็นชัดเจนและดีมากแล้วผมจึงขอพูดแต่เพียงว่า
ขีด “เส้นใต้บรรทัด” ที่คำว่า “กรมหม่อนไหมนั้น ไปส่งเสริมเชิงวัฒนธรรมให้กับคนบางกลุ่มได้ผลประโยชน์ อาจจะไม่ใช่เชิงเศรษฐกิจ” พร้อมกับบอกผู้พูดว่า เป็นความโง่อย่างบัดซบ!!
ขีด “เส้นใต้บรรทัด” ที่คำว่า “ปัญหา มันคงอยู่ด้วยอำนาจที่ค้ำยันมาอย่างแข็งแรงมาก” พร้อมกับบอกผู้พูดว่า หัวใจมึง บัดซบจริงๆ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี