การกลับมาครองอำนาจบริหารประเทศอัฟกานิสถานอีกครั้งของขบวนการการเมืองอิงศาสนาอิสลามภายใต้ชื่อ “ตาลิบัน” ได้โหมกระพือความวิตกกังวล ไปในหมู่เหล่าประชาคมโลกทั้งใกล้และไกล แต่ก็มีอยู่บ้างบางฝ่าย ที่เต็มไปด้วยความปีติหรรษา ขึ้นอยู่กับว่าใครมีผลประโยชน์และอุดมการณ์ความนึกคิดอย่างไรเป็นสำคัญ
จีนนั้นเล็งเห็นประโยชน์จากตาลิบันในการสร้างท่อลำเลียงก๊าซ และน้ำมันธรรมชาติ จากตะวันออกกลางและอิหร่าน ซึ่งในขณะเดียวกัน การสานสัมพันธ์ด้วยก็จะเป็นการเสริมสร้างอิทธิพล และนโยบายกระชับความสัมพันธ์ และพลังอำนาจทางเศรษฐกิจผ่านนโยบายเส้นทางสายไหมในยุคร่วมสมัย หรือที่เรียกว่า หนึ่งเข็มขัดหนึ่งเส้นทางถนน (Belt and Road Initiative) อีกทั้งจีนยังจะได้อัฟกานิสถานเป็นแหล่งทรัพยากรแร่ธาตุ เพิ่มขึ้นอีกที่หนึ่ง โดยเฉพาะแร่โคบอลต์ หินอ่อนและเพชรนิลจินดา ไปจนถึงแร่ธาตุหายาก (Rare Earths) ที่มีความสำคัญยิ่งในกิจการสื่อสารสมัยใหม่ และกิจการอวกาศ นอกจากนั้น การเป็นพันธมิตรกับอัฟกานิสถานภายใต้ตาลิบัน จีนยังได้การกระชับความสัมพันธ์กับปากีสถานเป็นของแถมอีกด้วย ซึ่งจะเปิดโอกาสในการขายอาวุธให้ปากีสถานเพิ่มเติม เพื่อใช้ในการตีกรอบอินเดีย โดยต่างฝ่ายต่างมีข้อพิพาทเรื่องเขตแดนกันอยู่
ในขณะที่รัสเซียก็จะได้ประโยชน์ในการเป็นมิตรกับตาลิบันคล้ายๆ กับจีน นั่นคือการขายอาวุธ และการหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ ส่วนปากีสถานนั้น เมื่อจับมือกับตาลิบันแล้วก็จะกลายเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อความเป็นไปในอัฟกานิสถาน ซึ่งจะอยู่ในฐานะที่สามารถใช้ตาลิบันเป็นเครื่องมือคุกคาม และบ่อนทำลายอินเดีย โดยเฉพาะในรัฐแคชเมียร์ ซึ่งปากีสถานมีข้อพิพาทอยู่กับอินเดียมาช้านาน
ในทางกลับกัน อินเดียคือประเทศเพื่อนบ้านที่จะตกอยู่ในความวิตกกังวลต่อการกลับเข้ามาสู่อำนาจของพวกตาลิบันในอัฟกานิสถาน โดยเฉพาะผลกระทบในเรื่องความมั่นคง เพราะความร่วมมือระหว่างจีน ปากีสถาน ดังกล่าว อีกทั้งการส่งออกลัทธิการเมืองอิสลามแบบสุดโต่ง รวมทั้งอิหร่านก็คงจะวิตกกังวลว่า ลัทธิการเมืองอิสลามของพวกนิกายซุนนี่ในอัฟกานิสถานจะขึ้นมาแข่งขันกับนิกายชีอะห์ของตน ส่วนทาจิกิสถาน อุซเบกิสถาน และเติร์กมินิสถาน ก็คงจะมีความวิตกกังวลว่า ลัทธิการเมืองอิสลามจะเข้ามามีอิทธิพลต่อระบอบการเมืองการปกครองของตน และอาจจะถูกนำเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ต่างๆ ในอัฟกานิสถาน ซึ่งมีชนกลุ่มน้อยที่เป็นเชื้อสายของชนชาติทาจิก อุซเบก และเติร์กมันอยู่ด้วย
สังคมโลกโดยทั่วๆ ไป รวมทั้งประเทศไทย ก็คงจะมีความรู้สึกไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือห่วงกังวลในเรื่องที่อัฟกานิสถานจะกลับไปเป็นแหล่งบ่มเพาะความสุดโต่งในความเชื่อถือของศาสนาอิสลาม และการส่งออกบุคลากรมาเข้าร่วมในการสู้รบเพื่อแบ่งแยกดินแดน หรือเพื่อบ่อนทำลายความเป็นรัฐชาติต่างๆ ที่ต่างศาสนา หรือความเชื่อกับตาลิบัน
นอกจากนั้น สังคมโลกโดยทั่วไปคงจะไม่ยอมรับการแอบอ้างศาสนา หรือประเพณีนิยมของชนเผ่า โดยฝ่ายรัฐบาลตาลิบัน ในการลิดรอนและจำกัดจำเขี่ยสิทธิเสรีภาพ และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของเพศสตรี ซึ่งก็จะเป็นเงื่อนไขสำคัญของการที่สังคมโลกจะยอมรับให้อัฟกานิสถานเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลก
ในขณะเดียวกัน ภายในกลุ่มตาลิบัน ภายในสังคมอัฟกานิสถานโดยทั่วไป ก็จะมีทั้งพวกหัวก้าวหน้า และพวกเดี่ยวหัวรุนแรงสุดโต่ง ที่จะต้องหาข้อยุติร่วมกันในเรื่องความพอดีพองามของการเป็น “รัฐอิสลาม” และการปฏิบัติต่อเพศสตรี เพราะความสุดโต่งใดๆ นั้นก็จะเกี่ยวโยงกับการยอมรับของสังคมโลก ซึ่งก็เป็นที่ค่อนข้างแน่ชัดว่า ฝ่ายตะวันตกและประเทศที่มีการปกครองในระบอบเสรีประชาธิปไตย จะไม่ยอมรับความเป็นรัฐอิสลามแบบสุดโต่ง ซึ่งการนี้ก็คงมีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้น ที่จะสามารถข้องแวะกับอัฟกานิสถานได้ เช่นจีน รัสเซีย และปากีสถาน แต่ทั้ง 3 ประเทศนี้ต่างก็ต้องระมัดระวังการแพร่ขยายลัทธิสุดโต่งจากอัฟกานิสถานเข้าสู่ประเทศของตน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และจะยึดเอาแค่ผลประโยชน์ที่พึงจะได้รับดังกล่าว โดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะตามมาก็ไม่ได้ จำจะต้องชั่งใจดูให้ถี่ถ้วน
ลัทธิสุดโต่งทางด้านศาสนา ซึ่งจะมีการใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือกลไกนั้น ถือเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายต่อทุกประเทศ ฉะนั้น การคิดอ่านในเรื่องการใฝ่หา
ความร่วมมือเพื่อต่อต้านลัทธิสุดโต่งและการก่อการร้าย จึงควรจะเป็นภาระหน้าที่ของทุกประเทศที่จะต้องตั้งมั่น และหาทางร่วมมือกัน เพราะเป็นประโยชน์ร่วมกัน โดยผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจการค้าน่าจะเป็นเรื่องที่มีความสำคัญรองลงมา
ส่วนข้อพิพาทว่าด้วยเรื่องดินแดนระหว่างอินเดียกับปากีสถาน และระหว่างอินเดียกับจีนนั้น ก็เป็นเรื่องของการเจรจาหารือเป็นสำคัญ เพราะเป็นสันติวิธี การเผชิญหน้าและการใช้กำลัง หรือการบ่อนทำลายกันในเชิงลับ ก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา และจะไม่เป็นผลดีต่อผู้ใด
ฉะนั้น ทั้งจีน อินเดีย และปากีสถาน ต่างก็มีพันธกรณีที่จะช่วยประคับประคองให้รัฐบาลตาลิบันของอัฟกานิสถานอยู่ในร่องในรอย เพราะอัฟกานิสถานยังเต็มไปด้วยความยากจน บ้านเมืองต้องได้รับการฟื้นฟูจากสภาวะสงครามการสู้รบมายาวนาน ก็เป็นเรื่องของการที่จะต้องเอาประเทศและชีวิตของผู้คนเป็นที่ตั้ง
การนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ตราบใดที่ยังปล่อยให้ความคิดแบบสุดโต่ง ยึดมั่นถือมั่น เป็นอุปสรรค ซึ่งในอดีต รัฐบาลตาลิบันก็เคยได้รับบทเรียนมาแล้ว ช่วงที่เป็นรัฐบาลครั้งแรกเมื่อ 20 ปีมาแล้ว และบัดนี้มีโอกาสในการเป็นรัฐบาลครั้งที่สอง ก็น่าจะได้พิจารณา ทบทวน บทเรียนต่างๆ โดยเฉพาะการบริหารบ้านเมืองด้วยสามัญสำนึก และหลักปฏิบัติที่เป็นสากล โดยไม่เอาเรื่องความคิดสุดโต่งของศาสนามาเป็นวิถีทางของการบริหารปกครองบ้านเมือง เพราะมักจะออกมาในรูปของการกดขี่ และการสร้างอาณาจักรแห่งความกลัว มากกว่าการบริการรับใช้ และตอบสนองความต้องการพื้นฐานของประชาชน และความสงบผาสุกของบ้านเมือง
ชาวโลกต่างก็อยากจะเห็นชาวอัฟกันอยู่ดีกินดี และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือช่วยเหลือ แต่มีเงื่อนไขว่า รัฐบาลตาลิบันเองก็ต้องเปิดทาง เปิดกว้างและเปิดใจ และปรับทัศนคติอย่างสิ้นเชิงในเรื่องการปฏิบัติต่อเพศสตรี และในเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนพลเมืองเป็นการทั่วไป โดยคงต้องกลับไปทบทวนว่า มนุษย์ทุกคนเป็นผู้ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ไฉนจะมีกลุ่มมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่จะมาทำตัวเป็นใหญ่อยู่ระหว่างพระเจ้ากับมวลมนุษย์โดยทั่วไป แถมยังทำตัวเสมือนเป็นพระผู้เป็นเจ้าเสียเอง ทั้งๆ ที่พระผู้เป็นเจ้านั้นทรงเปี่ยมด้วยความเมตตา
ฉะนั้น กลุ่มผู้ปกครองอัฟกานิสถานก็จะกระทำตนไร้ซึ่งความเมตตามิได้ เพราะเป็นการสวนทางกับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี