เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่า ทุกๆ ประมาณ 10 ปี กรุงเทพฯ และปริมณฑลจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ เนื่องจากปริมาณฝนตกหนักช่วงฤดูฝน สมทบกับน้ำหลากจากทางตอนเหนือของประเทศ ซึ่งเมื่อไม่สามารถเคลื่อนต่อไปสู่ทะเลอ่าวไทยได้เร็วเพียงพอ ชาวกรุงเทพฯก็จะต้องเผชิญกับแรงผลักมวลน้ำกลับ มาจากน้ำทะเลที่สูงขึ้น
นอกจากนั้น ระหว่างฤดูน้ำท่วมทุกๆ ครั้งในแต่ละปีกรุงเทพมหานครก็จะประสบกับสภาวะน้ำเอ่อ น้ำท่วมท้องถนนอย่างฉับพลัน ซึ่งวิธีการแก้ไขก็ไม่พ้น การเพียรพยายามที่จะขับให้น้ำไหลออกสู่ทะเลให้มากและเร็วที่สุด ก่อนที่จะเจอกับกำแพงน้ำทะเลที่สูงขึ้น โดยจะมีการเร่งสูบน้ำเข้าสู่แม่น้ำและคลองคู และบึง ทั้งธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นสำคัญ และก็ดำเนินการแบบนี้กันซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกฤดูฝน พร้อมกับการฝากความหวังไว้กับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครว่า จะเป็นผู้สร้างปาฏิหาริย์แก้ประเด็นปัญหาทั้งเฉพาะหน้า และในอนาคตได้
บัดนี้ก็น่าจะถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยเรา จะได้มีการร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลกลาง และผู้บริหารปกครองท้องถิ่น
เพื่อร่วมพินิจพิจารณาประเด็นปัญหาในภาพรวม และจัดทำแผนแม่บทอย่างเป็นระบบเพื่อรับมือกับสภาวะน้ำมากฉับพลันและการมีระบบบริหารจัดการที่จะอยู่ได้กับปัญหาฝนตกและน้ำท่วมอย่างถาวร
ในทางภูมิศาสตร์ กรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างการลงมาของน้ำเหนือ และ
อ่าวไทย (ที่เป็นที่รองรับการไหลออกของน้ำเหนือดังกล่าว) ในหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ชาติไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ ก็มีการกล่าวถึงการใช้ข้อได้เปรียบในทางภูมิศาสตร์ ดูได้จากในหนังสือเรียน
ประวัติศาสตร์ชาติไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ ก็มีการกล่าวถึงการใช้สภาวะน้ำหลาก
น้ำท่วม มาเป็นยุทธวิธี หรือเครื่องมือทางสงคราม ในการบีบบังคับและขับไล่ให้กองทัพพม่าให้ถอนตัวออกไป เพราะด้วยปริมาณน้ำท่วมมหาศาลนี้ กองทัพพม่าจะไม่สามารถลอยคออยู่นอกกำแพงเมืองเพื่อทำการสู้รบต่อไปได้
อีกทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยก็อยู่กับลำน้ำ การดำรงชีพและการสัญจรไป-มา และอยู่กับฤดูน้ำมากได้จึงมีการสร้างบ้านยกใต้ถุน ที่มีพื้นเรือนอาศัยสูงเหนือน้ำและยังมีการใช้เรือพายเพื่อการติดต่อค้าขายและกิจการประจำวันอีกด้วย
แต่เมื่อถึงยุคของการพัฒนาและด้วยอิทธิพลของชาวตะวันตก ประเทศไทยก็เกิดการขยายตัวของตัวเมือง มีการก่อสร้างถนนหนทาง ทางรถไฟ โรงทาน อาคารพาณิชย์ และบ้านเรือนอย่างมากมายกว้างขวาง ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ได้นำไปสู่การถมคูคลอง การลดความกว้างของคูคลอง ไปจนถึงการกีดขวาง ปิดกั้น การเคลื่อนไหวของน้ำธรรมชาติ
ทั้งหมดดังกล่าวนี้อาจจัดได้ว่า มนุษย์เราชาวไทยได้ไปละเมิดสิทธิการไหลบ่าของมวลน้ำหลาก ถมทำลายคลองคูและในขณะเดียวกัน เราก็ได้ลืมเลือนสถาปัตยกรรมของบ้านเรือนของบรรพบุรุษเรา และปรัชญาชีวิตว่า ต้องอยู่กับน้ำหลากกันอย่างไรให้ได้
จากนี้ไป เราก็ต้องหันกลับมาทบทวนว่า สิ่งก่อสร้างใดๆบ้างที่ขวางการไหลของน้ำธรรมชาติ และสิ่งก่อสร้างใดที่ไปทำลายแหล่งเก็บน้ำธรรมชาติ และถนนหนทางกี่สาย ที่ได้ไปรังแกและละเมิดสิทธิของคลองคูข้างทาง แล้วเราจะมีความกล้าหาญชาญชัยในความคิดที่จะกลับไปเปิดทาง คืนสิทธิให้กับน้ำธรรมชาติ และเส้นทางไหลเวียนของน้ำตามคลองคูได้หรือไม่ และในขณะเดียวกันเราจะค้นหาและพัฒนาแก้มลิงให้มากที่สุดได้เท่าไร เพื่อให้เป็นที่พักน้ำเคียงข้างกับคูคลองและแม่น้ำต่างๆ ก่อนที่จะไหลออกสู่ทะเลอ่าวไทยของเรา
ทั้งนี้ ยังต้องมีการทบทวนวิธีการเฉพาะหน้าของการเทน้ำจากเขตหนึ่ง ไปยังอีกเขตหนึ่งของกรุงเทพมหานครเช่น การมุ่งรักษากรุงเทพฯชั้นในให้แห้ง ในขณะที่กรุงเทพฯชั้นนอกต้องทนกับน้ำท่วมสูง ที่ถูกระบายออกมา ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ ระหว่างประชากรกรุงเทพมหานครด้วยกัน ซึ่งหากรัฐยืนยันว่ามีความจำเป็นที่จะกระทำการแบบนี้ต่อไป ก็จะต้องมีการชดเชยบรรดาผู้อยู่อาศัยในเขตที่จมน้ำท่วมแทนเขตอื่นๆ จนกว่าจะสามารถจัดการให้น้ำที่มากไปกองอยู่ที่บึง คู คลอง ในน้ำ ลำธาร และแก้มลิง ให้ไปได้มากที่สุด หรือเพื่อรอเวลาที่จะระบายออกสู่ทะเล
ในทางคู่ขนาน ควรได้ดำเนินการเสริมด้วยการขุดคลองที่สามารถจะกระจาย เชื่อมโยง ไปยังจังหวัดต่างๆ ให้มากที่สุด และทั้งหมดนี้คงไม่เป็นการเสียหลายที่เราจะเรียนรู้จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งแผ่นดินทั้งประเทศนั้นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าทะเล แต่เนื่องจากเขามีระบบถ่ายเทน้ำจากคลองหนึ่งไปยังอีกคลองหนึ่ง แล้วเทออกสู่ทะเลได้โดยไม่เกิดปัญหาน้ำท่วมขังกับชาวเมือง
หรือนัยหนึ่งเราจะมีระบบคลองดังเช่นคลองรังสิตที่ขึ้นชื่อของเราไปได้ทั่วประเทศ หรืออย่างน้อยเอาแค่ในภาคกลางก่อนได้หรือไม่?
เรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำหลากแบบยั่งยืนนี้ คงไม่เกินความสามารถของคนไทยเรา หากคิดจะเอาจริงเอาจังกัน
ในขณะเดียวกันเราก็ต้องกลับไปคิดทบทวนที่จะให้มีระบบการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนที่จะอยู่กับน้ำได้ โดยการยกพื้น หรือการเปิดชั้นพื้นดินให้อยู่อาศัยได้ แต่ก็รับมือกับสภาวะน้ำท่วมชั่วคราวได้ หรือจะคิดอ่านกลับไปมีบ้านแบบเรือนแพ หรือจะมีการค้นคว้าวิจัยว่าด้วยอาคารที่จะลอยน้ำได้ ซึ่งก็มีการค้นคว้าวิจัยทางสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม เช่นที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งก็เป็นข้อคิดว่าด้วยมาตรการหาทางออกกับสภาวะน้ำท่วม น้ำขัง และการดำรงชีวิตแบบจำเจและซ้ำซาก กับสภาวะน้ำท่วมถนนและหนทาง และพื้นที่ และวิธีการแก้ไขเฉพาะหน้าโดยการสูบน้ำจากแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง และการออกสำรวจและสั่งการโดยผู้ว่าฯกทม. ให้ฮือฮากันเล่น โดยไม่คิดอ่านที่จะดูที่ต้นเหตุ และยังเก่งก็แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี