การปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจโดยกองทัพพม่าที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่แล้วเสร็จ เพราะชาวพม่าทุกเพศทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ และทุกชาติพันธุ์ ทั้งชนกลุ่มใหญ่ชาติพันธุ์บะม่าห์ (Burmans) และชนกลุ่มน้อยต่างๆ เช่น มอญ กะเหรี่ยง คาเรนนี ฉาน ฉิ่น คะฉิ่น และยะไข่ เป็นต้น ต่างได้ดำเนินการต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหาร และพยายามทำการขับไล่ฝ่ายกองทัพพม่าออกจากการยึดอำนาจ และพัวพันในเรื่องการบ้านการเมือง ทำให้พม่า ณ วันนี้ ตกอยู่ในสภาวะสงครามกลางเมือง โดยฝ่ายกองทัพพม่าก็ยังมุ่งดำเนินการปราบปราม เข่นฆ่า และจับกุมบรรดาผู้ต่อต้านต่างๆ อย่างไม่ลดละ
ผลก็คือ ผู้คนชาวพม่าได้บาดเจ็บล้มตายไปเป็นพันๆ คน ผู้คนต้องละทิ้งบ้านเรือนไปเป็นผู้อพยพลี้ภัยภายในประเทศมีจำนวนถึงประมาณ 1.3 ล้านคน แถมยังมีผู้ถูกจับคุมขังอยู่อีกประมาณ 17,000 คน และในจำนวนนี้เป็น สส. นักการเมืองอีกประมาณ 84 คน ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากพรรคสันนิบาตชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy – NLD) ซึ่งรวมนางออง ซาน ซู จี ผู้นำพรรค และอดีตผู้นำประเทศรวมอยู่ด้วย และในจำนวนนี้ก็มีผู้ถูกทรมานจนถึงชีวิตไปแล้ว 1 คน ถูกประหารชีวิตไปอีก 1 คน สส. พม่าที่เหลือต่างกระจัดกระจายไปหลบซ่อน และขอการปกป้องจากรัฐชนกลุ่มน้อยต่างๆ โดยที่เหลืออีกประมาณ 80 กว่าคนได้หลบหนีข้ามฟากเข้าสู่ดินแดนไทย ไปกระจุกตัวอยู่ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และยังมีจำนวนน้อยนิดที่ยังแอบพักพิงอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่
สส. นักการเมืองเหล่านี้ต่างหนีความตายมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของฝ่ายไทย แต่ทว่าทุกคนต่างเจอข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย มีหลายคนถูกจับกุม และกุมขังอยู่ที่สถานกักกันของฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองของไทย ส่วนที่เหลือนั้นไม่ถูกจับกุม ก็เพราะได้รับการคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่ของรัฐของไทย ที่ทำตัวเสมือนเป็นอำนาจอธิปไตยเสียเอง โดยการจัดพิมพ์และออกบัตร “คุ้มครอง” ให้กับชาวพม่าที่ลี้ภัยเข้ามาสู่เขตแดนไทย โดยบัตรคุ้มครองนี้ก็ต้องมีค่าป่วยการเป็นธรรมดา ซึ่งกลายเป็นหนทางหนึ่งของการหาประโยชน์ กอบโกยเงินทองเข้ากระเป๋าตนเอง จากความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ และการปล่อยปละละเลยของหน่วยงานบังคับบัญชาต่างๆ ตลอดแนวชายแดนไทย-พม่า ซึ่งก็มีจังหวัดต่างๆ เช่น ประจวบคีรีขันธ์ กาญจนบุรี ตาก แม่ฮ่องสอน เชียงราย รวมทั้งจังหวัดที่ไม่ใกล้ไม่ไกล เช่น เชียงใหม่ และพิษณุโลก ซึ่งต่างก็มี สส. จากพรรคการเมืองต่างๆ หลายพรรคเข้าร่วมชิงชัยในการเลือกตั้งใหญ่ของไทย โดยต่างก็ส่งผู้ที่จะเข้าสู่เวทีการเมืองรุ่นใหม่เข้าร่วมในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในประมาณครึ่งหลังของเดือนพฤษภาคมนี้
คำถามก็คือ สส. และพรรคการเมืองของเขาตระหนักรู้ในสถานะอันรันทดของเพื่อน สส. ชาวพม่ากันมากน้อยแค่ไหน? และได้คิดอ่านดำเนินการกันไปอย่างไรบ้าง?
เท่าที่ทราบมา ก็ยังไม่ได้มี สส. หรือนักการเมืองไทยคนใด ที่แสดงตนว่าได้ให้ความสนใจกับเรื่องชายแดนไทย-พม่า และความทุกข์ยากต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้น โดยเฉพาะพฤติกรรมที่ไม่งดงามของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยจำนวนหนึ่ง ไปจนถึงความไม่รู้ร้อนรู้หนาวของคณะรัฐบาลไทยชุดนี้ ซึ่งดูมีทีท่าว่าจะเอาอกเอาใจฝ่ายกองทัพพม่าผู้ทำลายประชาธิปไตยเสียมากกว่า
ความเป็นนักประชาธิปไตยนั้น มิได้จำกัดอยู่ที่การเข้าสู่สนามการเมืองภายในประเทศเท่านั้น หากแต่ต้องเป็นนักประชาธิปไตยแบบไร้พรมแดนด้วย ก็เลยขอเรียกร้องให้ สส. นักการเมือง และพรรคการเมืองของไทยหันมาเอาใจใส่ในเรื่องความหายนะของประชาธิปไตยที่ประเทศพม่า และความสิ้นไร้ไม้ตอกของเพื่อนนักการเมืองชาวพม่าด้วยกันเสียที
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี