คดียุบพรรคก้าวไกล กลายดราม่าที่นักการเมืองพันธุ์ใหม่ทุรนทุรายดิ้นรนยื้อเวลาให้นานที่สุด เพื่อปลุกเร้าอุปกรณ์การเกษตรให้เชื่อวาทกรรม “ตายสิบเกิดแสน” อย่างที่นักการเมืองเหล่านั้นท่องเป็นคาถาปลอบใจตนเองเรื่อยมา
“วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” สส.ตัวตึง ระดับแกนนำพรรคก้าวไกล สำรอกสำรากความเชื่อผ่านสื่อโทรทัศน์บางค่ายกรณีการวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกลตามเรื่องร้องเรียนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)อย่างมั่นอกมั่นใจว่า “พรรคก้าวไกล” จะไม่ถูกยุบหลัง “นักโทษเด็ดขาดชาย - ทักษิณ ชินวัตร” ขยับแข้งขาขยับปากทางการเมือง เพราะเชื่อผู้มีอำนาจฝ่ายอนุรักษ์นิยม “ไม่ชอบก้าวไกล แต่เกลียดทักษิณ”
ยิ่ง “นักโทษเด็ดขาดชาย – ทักษิณ ชินวัตร” ประกาศจุดยืนทางการเมืองชัด “พรรคเพื่อไทยไม่ใช่ตัวแทน “พรรคอนุรักษ์นิยมใหม่” ... “ ยืนยันว่าอนุรักษ์นิยมใหม่ไม่มีอยู่ใน “ดีเอ็นเอ”ของพรรค”
“พิธาคิโอ - ทิม/พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล-ชัยธวัช ตุลาธน ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร” มองว่าทุก “Action มันก็มี Reaction ... ทุกการกระทำก็ต้องมีผลลัพธ์ตอบกลับมา” ไม่รู้ว่าคนที่มีอำนาจและคิดจะยุบพรรคก้าวไกลได้ถามตัวเองหรือไม่ว่ายุบแล้วได้อะไรขึ้นมา มันจะยุบแล้ว อาจจะทำให้พรรคฝ่ายค้านอ่อนแรงลงขาดพรรคการเมืองที่มีสส.มากที่สุดในสภาไปชั่วคราว แต่อาจจะกลับมาใหม่อย่างติดเทอร์โบ มันจะคุ้มค่าไหมถ้าจะใช้วิธีนี้”
ถ้าดูเนื้อแท้ของคดียุบพรรคก้าวไกล การวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคงใช้เวลาไม่นานนัก เพราะแทบไม่ต้องไต่สวนเพิ่มเติม เพราะมีคำวินิจฉัย “เซาะกร่อนบ่อนทำลาย” ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ในคดีพรรคก้าวไกล และ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” นำการแก้ไข (ยกเลิก) ม.112 เป็นนโยบายของพรรคในการหาเสียงเลือกตั้งซึ่งก็มีความชัดเจนเพียงพอแล้ว
ดังนั้นการพยายามประดิษฐ์วาทกรรมใดๆจึงเป็นเพียงความต้องการยื้อเวลาในการปลุกเร้าแฟนคลับ...สมาชิกพรรคที่ถูกหยิบมากล่าวอ้างว่าได้รับผลกระทบหากมีการยุบพรรคการเมืองที่ชื่อก้าวไกล
ยิ่ง “บิ๊กต๋อม - ชัยธวัช ตุลาธน” หัวหน้าพรรคก้าวไกล และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรออกมาแขวะ แสดงภูมิปัญญาทางข้อกฎหมายตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่มีบทบัญญัติใด หรือมาตราใด ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคการเมือง แต่อำนาจในการยุบไปปรากฏอยู่ใน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งเป็นกฎหมายลำดับรองและต่ำกว่า ดังนั้นเรายิ่งเห็นว่ารัฐธรรมนูญให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญแค่สั่งให้ยุติการกระทำ ที่เห็นว่าเป็นการล้มล้างการปกครองแค่นั้น ทว่าจุดมุ่งหมายและลำดับศักดิ์ของกฎหมายก็ไม่เท่ากัน แต่โทษที่กำหนดในกฎหมายต่ำกว่า กลับร้ายแรงกว่า ต้องเป็นกรณีจำเพาะมากเท่านั้น จึงจะลงโทษร้ายแรงขนาดนี้ต้องได้สัดส่วน...”
2 แกนนำพรรคก้าวไกล ไม่ได้หารือในเรื่องดังกล่าวนี้หรืออย่างไร ทิศทางการปลุกเร้าจึงแปลกแยกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง “พิธาคิโอ - ทิม/พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”หยอกได้น่ารักน่าชังบนหลักการของปรัชญาที่ว่า “ทุก Action มันก็มี Reaction ... ทุกการกระทำก็ต้องมีผลลัพธ์ตอบกลับมา”
ส่วนกรณีหัวหน้าพรรคก้าวไกลขย้อนข้อกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ทราบเจตนาแน่ชัดว่าตั้งใจหรือหลงลืมบางมาตราไม่ได้นำมาประกอบการพิจารณาก่อนที่จะสำรอกสำรากตามแบบฉบับนักกฎหมายชั้นอ๋อง โดยมาตรา 49 ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า “...บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้ หากผู้ใดทราบว่ามีการกระทำตามวรรคหนึ่ง ย่อมมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวได้ หากอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการ หรือไม่ดำเนินการภายในสิบห้าวัน ผู้ร้องขอจะยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้
ขณะที่รัฐธรรมนูญมาตรา 210 กำหนดหน้าที่และอำนาจศาลรัฐธรรมนูญดังต่อไปนี้ 1.พิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหรือร่างกฎหมาย 2.พิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือองค์กรอิสระ 3.หน้าที่และอำนาจอื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
โดยที่นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นว่าพรรคก้าวไกลมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นเหตุแห่งการยุบพรรคก้าวไกลตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 วรรคหนึ่ง อนุมาตรา1 และ 2
และหากยืนตามปรัชญาของ “พิธาคิโอ” ที่ว่า “ทุก Action มันก็มี Reaction ... ทุกการกระทำก็ต้องมีผลลัพธ์ตอบกลับมา”แล้ว “ไม้หน้าสาม”บอก “พิธาคิโอและติ่งก้าวไกล-ด้อมส้ม”แค่ว่า “ต่อให้ก้าวไกลเลือกตั้งได้ สส.มา 500 คน ถ้าทำผิดกฎหมายก็ต้องยุบ ถึงคน 70 ล้านคนเลือก ก็ไม่มีสิทธิ์ไปล้มล้าง “สถาบันหลัก”ของบ้านเมือง สุดท้ายถ้าคนไทยทั้งประเทศพากันทำ บ้านเมืองจะวิบัติ สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน”
ใช่ปรัชญาที่ “พิธาคิโอ – ทิม/พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”เรียกร้องใช่หรือไม่
นึกไม่ออกเลยจะมีอะไรมาหักล้างคำวินิจฉัย “เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันหลักของชาติ” ได้บ้าง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี