พลันที่เกิดเหตุการณ์ Black Monday 2024 หรือ ตลาดหุ้นหลายประเทศทั่วโลกปรับตัวลงอย่างแรงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เพราะมีสัญญาณบ่งบอกว่าสหรัฐกำลังจะเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอย….ทรัมป์ก็ไม่รีรอที่จะใช้ลีลาการหาเสียงแบบทรัมป์ๆ เสนอ ทางเลือกสำหรับคนอเมริกัน (American choice) ด้วยการเขียนจั่วหัวตัวโตบนโซเชียลมีเดีย Truth Social ตลอดทั้งวันว่า...
“Trump Cash vs. Kamala Crash” พร้อมกับโพสต์ข้อความสั้น ๆ ตลอดบ่ายวันนั้นกว่า 10 ข้อความ เช่น “ระหว่าง ทรัมป์: ความรุ่งเรือง กับ กมลา : ความวินาศ
สันตะโร” หรือ “พวกคุณเลือกได้ ระหว่าง ได้เวลากินดีอยู่ดี กับ ทรัมป์ หรือ เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ กับ กมลา”
สำหรับผู้สนับสนุนทรัมป์จำนวนหนึ่ง การสื่อสารทางการเมืองเพียงแค่นี้ ก็เพียงพอแล้วสำหรับการลงคะแนนเสียงให้เขา ในวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน ปลายปีนี้ โดยไม่สนใจว่าทรัมป์จะโกหก พูดมั่วซั่ว คุยโม้โอ้อวด พูดจาเกินจริงหรือทำตัวเหมือนเด็กเกเรในโรงเรียนมัธยม ที่ชอบพูดล้อเลียนรูปลักษณ์และลักษณะท่าทางของคนอื่นๆ (bully)ไปจนถึงขั้น ดูถูกเหยียดหยาม เพศสภาพ ผิวสี ชาติกำเนิดคนอื่นขนาดไหนก็ตาม
กลุ่มคนดังกล่าวส่วนใหญ่จะเป็น คนขาว เพศชาย การศึกษาไม่สูง ตกงาน หรือไม่มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน เคร่งศาสนา ไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ อาศัยอยู่ตามเมืองเล็กๆ และคนที่รู้อิทธิฤทธิ์ของคนกลุ่มนี้ดีที่สุดคนหนึ่งก็คือ นางฮิลลารี คลินตัน ผู้เคยลงเลือกตั้งประธานาธิบดีแข่งกับทรัมป์เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผลโพลเกือบทุกสำนักชี้ว่าฮิลลารีจะชนะ ได้เป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ปี 2016 เป็นอย่างไรก็คงทราบกันดีโดยทั่วไปอยู่แล้ว ฉีกหน้าโพลเกือบทุกสำนัก
เพราะถึงแม้จะอ้างตัวเองหรือประเทศตนเองว่ามีระดับความเป็นประชาธิปไตยสูง ทุกคนเท่าเทียมกัน อะไรก็ตาม แต่ลึกๆ แล้วคนอเมริกันจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มฐานเสียงของทรัมป์ก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจในการที่จะยอมรับประธานาธิบดีหญิงผิวสี ขนาดนางฮิลลารีซึ่งเป็นคนขาวยังพ่ายแพ้มาแล้ว และความคิดประเภทชาตินิยมที่เชื่อในความสูงสุดของคนขาว (เพศชาย) ก็ยังฝังอยู่ในหัวอเมริกันชนจำนวนมากในทุกระดับและทุกวงการอีกเช่นกัน
หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วเหตุใดความรู้สึกเหยียดผิวถึงยังคงฝังลึกอยู่ในสายเลือดคนอเมริกันกลุ่มนี้ ทั้งๆที่ฐานคิดการสร้างประเทศของ คณะบิดาผู้ก่อตั้งประเทศ (the Founding Fathers of the United States) นั้นวางอยู่บนหลักการของสิทธิ ความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันของมนุษย์ทุกคน
ดังที่ โทมัส เจฟเฟอร์สัน เขียนประกาศก้องไว้ในคำประกาศอิสรภาพ (Declaration of Independent) ว่า.....มนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน และได้รับมอบสิทธิอันไม่สามารถจะถูกพรากออกไปจากพวกเขาได้ ไม่ว่าจะเป็น สิทธิในการมีชีวิต การมีอิสรภาพและการแสวงหาความสุข..หรือ....that all men are created equal, that they are endowed by their Creator with certain unalienable Right, that among these are Life, Liberty and the pursuit of Happiness.
แต่อย่างไรก็ตาม...เป็นที่รู้กันในหมู่ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์อเมริกันและ คำประกาศอิสรภาพ ของโทมัส เจฟเฟอร์สัน หนึ่งในคณะผู้ก่อตั้งประเทศ รัฐมนตรีต่างประเทศคนแรกและประธานาธิบดีคนที่สาม.... ผู้รังสรรค์ประโยค...all men are created equal…นั้น เจฟเฟอร์สันหมายถึงเฉพาะคนผิวขาว และเฉพาะเจาะจงผิวขาวที่เป็นผู้ชายด้วยซ้ำ เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว รัฐสภาสหรัฐก็พึ่งผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม ครั้งที่ 15 ในปี 1870 (๒๔๑๓) ให้สิทธิเลือกตั้งกับคนผิวสี เกือบร้อยปี หลังวรรคทองที่ว่า.... มนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน... และแก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 19 ในปี 1920 (๒๔๖๓) เรื่องสิทธิในการเลือกตั้งของสตรี หรือต้องรอตั้ง 130 กว่าปี หลังจากที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ผู้หญิงถึงมีสิทธิเลือกตั้งได้
และในช่วงเวลาที่คณะบิดาผู้ก่อตั้งประเทศกำลังจะอ่าน คำประกาศอิสรภาพ ที่เมืองฟิลาดีเฟีย เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 1776 เพื่อประกาศว่าจะไม่ขึ้นกับการปกครองของอังกฤษ เจ้าอาณานิคมอีกต่อไป เจฟเฟอร์สันก็มีทาสผิวดำติดสอยห้อยตามคอยรับใช้มาด้วยสองคน จากจำนวนทาสหกสิบกว่าคนที่เขามีอยู่ในเวลานั้น และก่อนตายในปี 1826 เจฟเฟอร์สันครอบครองทาสอยู่ทั้งสิ้นกว่า 600 คน โดยไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเขามีเจตจำนงที่จะปลดปล่อยทาส 600 คนนี้ให้เป็นอิสระ ขณะที่จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรก ได้สั่งเสียไว้ก่อนตายว่าให้ปลดปล่อยทาสจำนวนประมาณ 130 หลังจากที่เขาตายแล้ว และปล่อยไปให้หมดที่เหลืออีกเกือบ 200 คน ภายหลังจากที่ภรรยาของเขาได้เสียชีวิตลง
กระนั้นก็ตาม มีหลักฐานหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์ค่อนข้างเห็นตรงกันว่า เจฟเฟอร์สันได้ปลดปล่อยให้ทาสหกคนมีอิสรภาพ แต่....ทาสผิวสีหกคนนี้คือ...ลูกๆ ของเขาเองที่เกิดกับ ซัลลี เฮมิงส์ (Sally Hemming)ทาสรับใช้ในบ้าน เจฟเฟอร์สันเริ่มมีความสัมพันธ์กับซัลลี ขณะที่เธออายุได้เพียงแค่ 16 ปี และต้องติดตามเจฟเฟอร์สันซึ่งตอนนั้นไปเป็นทูตอยู่ที่กรุงปารีสระหว่างปี 1785-1789 เพื่อไปเป็นพี่เลี้ยงให้กับลูกของเจฟเฟอร์สันที่เกิดกับอดีตภรรยาซึ่งเสียชีวิตไปก่อนหน้านั้นสามปีโดยก่อนที่ภรรยาของเขากำลังจะเสียชีวิต ได้เคยขอร้องไม่ให้เขาแต่งงานใหม่
อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันอย่างชัดเจนว่า เจฟเฟอร์สันมีเจตจำนงอยู่แล้วที่จะให้ลูกๆ ของเขากับซัลลีเป็นอิสระหรือไม่ ถ้าซัลลีไม่ต่อรองกับเจฟเฟอร์สัน ตอนที่เขาจะต้องกลับอเมริกาเพื่อไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ในรัฐบาลจอร์จ วอชิงตัน ว่า…เธอจะไม่กลับไปอเมริกาพร้อมกับเขา ถ้าเจฟเฟอร์สันไม่รับปากว่าจะปลดปล่อยลูกของเธอให้เป็นอิสระเมื่ออายุครบ 21....เพราะในที่ฝรั่งเศส ซัลลี เพียงแค่เดินไปที่ศาลาว่าการกรุงปารีส และก็บอกกับเจ้าหน้าที่ว่า เธอเป็นทาสที่ถูกกักตัวอยู่ในฝรั่งเศส เพียงเท่านี้เธอก็จะได้รับการช่วยให้มีอิสรภาพทันที
ที่เล่ามาข้างต้นนั้นเป็นประวัติศาสตร์เพียงแค่ช่วงเวลา 250 ปีเท่านั้นเอง ถ้าอยากจะเข้าใจเรื่องชนชั้นในสังคมอเมริกันจริงๆ คงต้องย้อนกลับไปมากกว่านั้น ตั้งแต่ที่โคลัมบัสพึ่งค้นพบดินแดนนี้ใหม่ๆ ในช่วงศควรรษที่ 15 ดังนั้น...การที่จะไปเปลี่ยนแปลงความคิดหรือความรู้สึกที่ฝังอยู่ในสังคมนี้มากว่าห้าร้อยปีแล้วนั้น คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนางแฮร์ริส
อย่างไรก็ตาม...ถ้านางแฮร์ริสชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าคนอเมริกันต้องการความเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนจริงๆ ซึ่งก็ต้องฝากความหวังไว้ที่กลุ่มอเมริกันชนที่เป็นเสรีนิยมตัวจริง เพราะอย่าลืมว่าที่นั้นก็มีพวกเสรีนิยมจอมปลอมจำนวนไม่น้อย และอีกกลุ่มก็คือพวกชนชาติต่างๆ ที่พึ่งทยอยมาปักหลักปักฐาน ณ ดินแดนแห่งนี้ เพื่อมาหาชีวิตที่ดี (American dream) ในช่วง 40-50 ปีที่ผ่านมา จนได้เป็นพลเมืองสหรัฐ และถ้าบวกกับฐานเสียงดั้งเดิมของพรรคเดโมแครตออกมาใช้สิทธิกันอย่างเต็มที่ โอกาสที่จะได้เห็นประธานาธิบดีผิวสีหญิงคนแรกสหรัฐก็มีมาก
แต่ขณะเดียวกัน ถ้าฐานเสียงและกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ออกมาเลือกตั้งกันอย่างล้นหลาม การเมืองสหรัฐก็คงจะวุ่นวายไปอีก 4 ปี เพราะด้วยลีลาการบริหารประเทศของทรัมป์ที่สร้างความอลหม่านไปทั่ว ซึ่งอาจจะนำไปสู่เหตุการณ์ความขัดแย้งทางรัฐธรรมนูญ (constitutional conflict) ในการเมืองสหรัฐ
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี