การสู้รบระหว่างยูเครนกับรัสเซียนั้นเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 โดยฝ่ายรัสเซียได้กรีธาทัพบุกรุกเข้าไปยังผืนแผ่นดินยูเครน จนบัดนี้แม้จะครบเวลา 1 ปีแล้ว แต่ก็มีทีท่าว่าจะยืดเยื้อต่อไป ซึ่งก็มีการคาดหมายกันว่าคงไม่น่าจะยาวนานไปเกินกว่าอีก 1 ปีเพราะต่างฝ่ายก็ต่างต้องการจะเผด็จศึกกุมชัยชนะให้ได้ กล่าวคือ ฝ่ายยูเครนนั้นต้องการจะขับไล่ฝ่ายรัสเซียออกไปจากดินแดนของยูเครนให้ได้ทั้งหมด ในขณะที่ฝ่ายรัสเซียก็ได้ประกาศแล้วว่า ความพ่ายแพ้นั้นไม่เคยอยู่ในสารบบของความคิดอ่าน หรือความมุ่งมั่นของตนแต่อย่างใด
ในการนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายก็กำลังเพิ่มแสนยานุภาพทางการทหารกันอย่างคึกคัก โดยฝ่ายยูเครนได้เรียกร้องความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา และพันธมิตรยุโรปที่เป็นทั้งสมาชิกองค์การนาโต และองค์การร่วมมือภูมิภาคสหภาพยุโรป ซึ่งก็ได้รับการตอบสนองอย่างแข็งขัน ส่วนฝ่ายรัสเซียนั้นก็ได้มีการระดมพลฝึกฝนกองกำลังทหาร และเร่งการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ และกระสุนปืนกันอย่างขะมักเขม้น
รูปการณ์นี้ จึงมีแนวโน้มว่าทั้ง 2 ฝ่าย จะทุ่มเทประหัตประหารกันอย่างถึงที่สุดในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึงในไม่นานนี้ ซึ่งโลกก็จะไม่พ้นที่จะตกอยู่ในภาวะความตึงเครียด อกสั่นขวัญหาย และรับเคราะห์กรรมจากผลกระทบของความขาดแคลน รวมทั้งราคาที่สูงขึ้นของพลังงานเชื้อเพลิง ธัญพืช และอาหารโดยทั่วไป อีกทั้งยังต้องหวั่นวิตกว่าจะมีการใช้อาวุธนิวเคลียร์จากฝ่ายรัสเซียหรือไม่? เมื่อไหร่? ซึ่งมีการเก็งกันไว้ว่า ถ้าหากฝ่ายรัสเซียเสียรังวัดในสนามการสู้รบในรูปแบบ (Conventional Warfare) เมื่อใด รัสเซียก็จำเป็นที่จะต้องหันไปใช้ หรือขู่ที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์อย่างจริงจัง
ล่าสุด ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐอเมริกา ได้เดินทางไปเยือนกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน ซึ่งเป็นการให้กำลังใจกับฝ่ายยูเครน นอกเหนือจากการสนับสนุนช่วยเหลือทั้งทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ การเงิน การข่าวกรอง และการคว่ำบาตรต่อฝ่ายรัสเซีย ในเรื่องเศรษฐกิจการค้า และการเงิน เพื่อบั่นทอนให้ฝ่ายรัสเซียมิให้มีเงินทองที่จะนำมาใช้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ และดำเนินการสงครามสู้รบ นับเป็นการประกาศศักดาและเย้ยหยันและท้าทายถึงหน้าบ้านรัสเซียว่า ฝ่ายสหรัฐฯ พร้อมที่จะ “เอารัสเซียให้อยู่”
ในเวลาใกล้เคียงกันฝ่ายประธานาธิบดี ปูติน ก็ได้มีถ้อยแถลงต่อรัฐสภารัสเซียว่า ฝ่ายสหรัฐฯ และพันธมิตรต้องการเห็นความอ่อนแอและย่อยยับของฝ่ายรัสเซีย และได้ใช้ยูเครนเป็นเครื่องมือกลไกเพื่อการนี้ และได้ “ซื้อ” ผู้นำชุดปัจจุบันของยูเครน ที่มีอุดมการณ์แบบพวกฟาสซิสต์ (Fascist) โดยในทางกลับกัน ฝ่ายสหรัฐฯ และพันธมิตรยุโรปก็กล่าวหาฝ่ายรัสเซียว่า มีความมุ่งประสงค์จะฟื้นฟูอำนาจและอิทธิพลกลับคืนมา หลังจากที่อดีตสหภาพโซเวียต ซึ่งรัสเซียเป็นแกนสำคัญได้ล่มสลายลง
ก็เป็นการกล่าวหากันไปมา พร้อมด้วยการโฆษณาชวนเชื่อและการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อเอาความดีเข้าตนแล้วโทษอีกฝ่ายหนึ่ง ก่อนก็จะเอาแพ้เอาชนะกันให้ได้ด้วยการสงคราม ในขณะที่ประชาคมโลกก็ยังมีความหวังว่า แม้สถานการณ์จะเลวร้ายลงตามลำดับ แต่ก็อาจจะมีจุดหนึ่งที่ผู้นำต่างๆ ของฝ่ายประเทศคู่กรณีจักได้พึงมีสติ หรือมิตรประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศในโลกที่สาม (ประเทศกำลังพัฒนา) จะลุกมารวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้มีการหยุดยิง และกดดันให้คู่กรณีหันกลับสู่โต๊ะเจรจา เพื่อยุติการขัดแย้งและเสริมสร้างสันติภาพ ขณะเดียวกันในแต่ละประเทศคู่กรณีโดยเฉพาะทางฝ่ายสหรัฐฯ และยุโรปก็เริ่มมีเสียงคัดค้านการสงคราม แต่ก็ยังเป็นเสียงส่วนน้อย และมักจะไม่ได้รับการเสนอข่าวโดยฝ่ายสื่อสาธารณะต่างๆ ส่วนที่รัสเซียนั้น สิทธิเสรีภาพเองปกติก็มีความจำกัด จึงตกอยู่ในสภาพของลัทธิผู้นำนำพา ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ประชาชนพลเมืองก็ยังให้การสนับสนุนประธานาธิบดี ปูติน อยู่อย่างสูง เพราะเห็นว่าฝ่ายรัสเซียถูกประเมินค่าต่ำ และถูกรุกล้ำโดยฝ่ายสหรัฐฯ และพันธมิตรยุโรปมาโดยตลอด
ทั้งนี้ จีนก็ดี กลุ่มประชาคมอาเซียนก็ดี หรือประเทศกำลังพัฒนายักษ์ใหญ่ เช่น อินเดีย บราซิล เม็กซิโก และแอฟริกาใต้ และอาจรวมไปถึงกลุ่มอาหรับนำโดย อียิปต์ และซาอุดีอาระเบีย ต่างอยู่ในฐานะที่จะเรียกร้องและขับเคลื่อนให้ประเทศคู่กรณียุติการสู้รบ และหันกลับสู่โต๊ะเจรจา ซึ่งการเจรจาจะบรรลุเป้าหมายได้ ก็ต้องเป็นเรื่องออมชอม ถ้อยทีถ้อยอาศัย “ได้บ้าง เสียบ้าง” จะไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้รับสิ่งที่ฝ่ายตนต้องการร้อยละร้อย หรือร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งในกรณียูเครน-รัสเซียนี้ก็คือ การหาความสมดุลระหว่างข้อกังวลของฝ่ายรัสเซียในเรื่องความมั่นคงว่า จะไม่ถูกคุกคามโดยฝ่ายสหรัฐฯ และฝ่ายสหรัฐฯ พร้อมทั้งประเทศพันธมิตรในองค์การนาโตและพันธมิตรจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ที่ใช้ยูเครนเป็นหอกข้างแคร่รัสเซีย (หรือเป็นปลายแหลมของหอกที่จะทิ่มทะลวงฝ่ายรัสเซีย) โดยในแง่กลับ ฝ่ายยูเครนก็ต้องได้รับการประกันความมั่นคงปลอดภัยในความเป็นรัฐอธิปไตย โดยไม่จำเป็นต้องเข้าเป็นสมาชิกองค์การนาโต
ทั้งนี้ทุกฝ่ายก็ต้องไม่ลืมที่จะเอาเรื่องชีวิตของชาวยูเครนเป็นที่ตั้ง และไม่เป็นเหยื่อของความทะเยอทะยาน และความอยากของคู่กรณี ซึ่งหาก
ทุกฝ่ายคิดกันได้เช่นนี้ ความขัดแย้งก็น่าจะยุติลงได้ด้วยการเจรจาสันติวิธีได้ในไม่ช้า
ล่าสุดจีนได้แสดงตัวที่จะช่วยไกล่เกลี่ยและยุติปัญหา โดยเรียกร้องให้มีการหยุดยิงประการแรก แต่ความน่าเชื่อถือของจีนก็ดูสั่นคลอน เพราะจีนมีความเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย แต่จีนก็อยู่ในฐานะที่จะหาแนวร่วมจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา หรือโลกที่สามได้ ในการขับเคลื่อนให้มีการหยุดยิงและการเปิดการเจรจาระหว่างคู่กรณี ซึ่งชาวโลกก็ยังจะต้องติดตามกันต่อไป
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี