“ทนายวันชัย สอนศิริ” เท่าที่ผมรู้จัก ท่านเป็นคนมีอารมณ์ขันมีมุขตลกแพรวพราว พูดเก่ง จังหวะจะโคนเร้าใจ ท่านมีหมวกสองใบที่ทุกคนต้อง “ตามให้ทัน” ว่าในขณะนั้น ท่านกำลังเล่นบท “นักกฎหมาย” หรือ “นักการเมือง” หรือท่านได้ถอดหมวกออกมา เพื่อ “เอาฮา” เพลินๆ แก้เครียด
ล่าสุด ในเพจ “ทนายวันชัย สอนศิริ” ท่านได้โพสต์เรื่อง “เทวดา 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน 14 ช่องบาดาล” ระบุว่า
“...เลิกพูดเรื่องเทวดาชั้น 14 กันเสียที มันเรื่องนิดเดียวกับการที่เขาโหวตให้พรรคเพื่อไทยโดยให้คุณเศรษฐาเป็นนายกฯ ให้อำนาจรัฐกับเขาไป มาจากสัญญาณแห่งความปรองดองสมานฉันท์ การแบ่งสีแบ่งฝ่ายเขาเลิกกันแล้ว จบได้จบกัน ไม่มีเทวดา ไม่มีมนุษย์ ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ ถ้าพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า...
1. เกือบ 20 ปีที่ผ่านมา เราแบ่งสีแบ่งฝ่าย ทะเลาะเบาะแว้ง แตกแยกกันมา เป็นทั้งประชาธิปไตย ทั้งเผด็จการทั้งปฏิวัติรัฐประหาร ไม่มีใครถูกทั้งหมดและก็ไม่มีใครผิดทั้งหมด มีทั้งผู้ดีผู้ร้าย มีทั้งมนุษย์และเทวดาทางการเมือง ตอนนั้นเราเห็นว่าสิ่งนี้ผิด แต่วันนี้ถูก วันนั้นว่าใช่ วันนี้ไม่ใช่ แม้แต่เรื่องคุณทักษิณก็อยู่ในบริบทนี้
2. คนที่ทำการรัฐประหารเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ใช้อำนาจรัฐได้ทั้งหมด ทั้งนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ เบ็ดเสร็จเด็ดขาด กำกับได้ทุกองค์กร จะจับใครติดคุกติดตะราง ยึดอายัดทรัพย์ก็ทำได้ทั้งนั้น เป็นยิ่งกว่าเทวดา เรียกว่าเหนือ 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน 14 ช่องบาดาล ทั้งบก น้ำ อากาศ เหนือมนุษย์มั้ยล่ะ.. เอาเปรียบใครมั้ยล่ะ.. มีใครว่าหรือเปล่า? ถ้าจะเทียบกับเทวดาชั้น 14 ห่างกันลิบลับ แค่เศษเสี้ยวธุลียังไม่ได้เลย...
3. โดยพื้นฐานของมนุษย์ที่มีตำแหน่งแห่งหนและฐานะ มันก็ไม่เท่ากันอยู่แล้ว จะอยู่ในคุกหรือนอกคุกมันก็ไม่เท่ากัน ยิ่งเป็นเทวดาแต่ละชั้นๆ มันก็ไม่เท่ากัน มันก็เป็นธรรมดา... คนที่เป็นมนุษย์ก็หมั่นไส้เทวดา คนที่เป็นเทวดาก็หมั่นไส้พระอินทร์พระพรหม หาว่าพวกนี้เหนือเรา เหนือมนุษย์ เหาะเหินได้ ถ้ายกนิ้วมนุษย์ขึ้นมาดูก็จะเห็นว่านิ้วแต่ละนิ้วก็ไม่เท่ากัน
รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงก็ไม่เท่ากัน นักโทษแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน...
เขาเลิกทะเลาะกันเรื่องสีแดงสีเหลือง นปช. กปปส.แล้ว ที่จะฆ่ากันเอาเป็นเอาตาย เขาไปรวมเป็นรัฐบาลกันหมด พวกหลงโรงยังจะมามัวทะเลาะกันเรื่องเทวดากับมนุษย์ โดยเฉพาะเทวดาชั้น 14 กันอยู่ทำไม... ทะเลาะแล้วได้อะไร เลิกๆ กันเสียบ้าง ให้บ้านเมืองเดินต่อไปไม่ดีกว่าหรือ... หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็ไปกราบขอพรหลวงพ่อสัมฤทธิ์ประสิทธิโชค วัดไก่เตี้ย เขตตลิ่งชัน ใจจะได้สงบ...”
1) ผมว่า ทนายวันชัยนี่ท่านมี “อารมณ์ขัน” เหลือล้นจริงๆ อ่านข้อเขียนนี้ของท่านต้องอ่าน “ระหว่างบรรทัด” ด้วย เพราะหากอ่านเผินๆ จะพลัดหลงไปสู่ความเข้าใจผิดได้ว่า “ไอ้นี่กิ้งก่าเปลี่ยนสีนี่หว่า” หรือ “ไอ้เ-ย เลียฉิบหาย” หรือ “หางานทำต่อใช่ไหม” อะไรทำนองนี้ ผมเห็นบางคนไป “แสดงความคิดเห็น” เชิงกล่าวหาว่า “อยากเป็น สว.ต่อใช่ไหม” อันนี้ผิดมหันต์ กฎหมายใหม่ เป็น สว.ได้แค่ครั้งเดียว จบ! ทนายวันชัยท่านเป็น สว. ต่อไม่ได้แล้วครับ ยกเว้นจะมีการแก้กฎหมาย แต่ระหว่างนี้ ท่านสามารถเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายกฎหมายของพรรคการเมือง ที่ปรึกษาคนนั้นคนนี้ หรือได้รับการแต่งตั้งให้ไปเป็นบอร์ดของหน่วยงานนั้นหน่วยงานนี้น่ะได้ ถ้าถูกใจผู้มีอำนาจ แต่-พวกคุณคิดว่า ทนายวันชัยมีสันดานแบบนั้นกันหรือครับ? ผมไม่เชื่อหรอกว่าท่านจะเป็นคนสันดานแบบนั้น หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่เชื่อ!!
2) คุณคิดว่า การเป็นนักกฎหมายมาจนหัวหงอกแล้วของ “ทนายวันชัย” เคยเป็น “เลขาธิการสภาทนายความ” มา 3 สมัย เคยเป็นอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และเป็นสื่อสารมวลชนอยู่พักใหญ่ ท่านจะ “บ้องตื้น-อับปัญญา” แยกไม่ได้ว่าอะไรคือกระบวนการสมานฉันท์ อะไรคือการเหยียบย่ำทำลายหลัก “นิติรัฐ-นิติธรรม” หรือครับ ผมบอกแล้ว อ่านข้อเขียนของท่าน ต้องระวัง อย่าอ่านทื่อๆ เพราะท่านไม่ใช่คนทื่อๆ
3) ผมเชื่อว่าท่านกำลัง “เสียดสี” (Satire) สถานการณ์บ้านเมือง ในทำนองว่าประหลาดแท้ รบกันแทบเป็นแทบตาย บทจะจูบปากกันได้ ก็จูบปากกันตั้งรัฐบาลเสียอย่างนั้น ตั้งรัฐบาลเสร็จ ไม่มีการรบกันเลยไม่เห็นเหรอ คนที่เคยตรวจสอบ “ระบอบทักษิณ” ซึ่งอยู่ใน “พรรคร่วมรัฐบาล” ก็หุบปากเงียบ เรื่องนักโทษชายทักษิณ ที่การออกมารักษาตัวนอกเรือนจำและนอกโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ถูกสังคมตั้งคำถามและมีข้อสังเกตมากมาย ว่า “อยุติธรรม” เป็น “อภิสิทธิ์ชน” ตรวจสอบไม่ได้ ฯลฯ ท่านจึงบอกว่า “การแบ่งสีแบ่งฝ่ายเขาเลิกกันแล้ว จบได้จบกัน ไม่มีเทวดา ไม่มีมนุษย์” ความหมายเชิงลึกก็คือ ชนชั้นนำ แม่ทัพ เขาสงบศึกกันแล้ว เขาแบ่งอำนาจอันหอมหวานให้กันและกัน พวกมึงยังจะมา “เหนื่อยยาก-เหนื่อยใจ” กันอยู่ทำไมวะ
4) ท่านเสียดสี (Satire) แม้กระทั่งตัวท่านเอง คุณคิดกันดูสิ จะมีใครเสียสละได้อย่าง “ทนายวันชัย” ผู้ที่ถูกมองว่า “เสวยสุข” มากับ “คณะรัฐประหาร” เป็น สว.อยู่ตอนนั้น พอมีรัฐประหาร ได้เป็น สมาชิสภานิติบัญญัติที่คณะรัฐประหารแต่งตั้ง แล้วยังได้เป็นอะไรต่อมิอะไร มีบทบาทที่สำคัญอีกหลายประการ โดยเฉพาะการเติม “บทเฉพาะกาล” ลงไปในรัฐธรรมนูญ ให้อำนาจ สว. ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้เป็นเวลา 5 ปี โดยที่ต่อมาท่านก็ยังได้เป็น สว. โดยการแต่งตั้งของคณะรัฐประหารอีก
5) ท่านถึงบอกว่า “คนที่ทำการรัฐประหารเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ใช้อำนาจรัฐได้ทั้งหมด ทั้งนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ เบ็ดเสร็จเด็ดขาด กำกับได้ทุกองค์กร จะจับใครติดคุกติดตะราง ยึดอายัดทรัพย์ก็ทำได้ทั้งนั้น เป็นยิ่งกว่าเทวดา เรียกว่าเหนือ 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน 14 ช่องบาดาล ทั้งบก น้ำ อากาศ เหนือมนุษย์มั้ยล่ะ.. เอาเปรียบใครมั้ยล่ะ.. มีใครว่าหรือเปล่า? ถ้าจะเทียบกับเทวดาชั้น 14 ห่างกันลิบลับ แค่เศษเสี้ยวธุลียังไม่ได้เลย...” เพียงแต่ท่านไม่ได้พูดว่า “จะแต่งตั้งใคร ให้เป็นอะไร ก็ได้ทั้งนั้น” เหมือนที่แต่งตั้งท่านเป็นตำแหน่งต่างๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้นแหละ เพราะท่านเป็นคนมีชั้นเชิง ไม่ใช่คนโฉ่งฉ่าง
6) โถ... ท่านเป็นเพียง “ทนายความ” ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จะไปปฏิเสธ หรือต้านทานอำนาจ “รัฏฐาธิปัตย์” ที่แต่งตั้งท่านเป็นนั่นเป็นนี่ได้อย่างไรกันล่ะ เขามีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ขืนไม่คล้อยตาม ใครจะรู้ล่ะ ว่าเกิดอะไรตามมา ดังนั้น เขาตั้งท่านเป็นอะไร ท่านก็รับหมด และเล่นสมบทสมบาท เต็มที่เสียด้วย ไม่ใช่อะไรหรอก ท่านอยากให้ “เผด็จการตายใจ” น่ะ เล่นสมจริงสมจังเสียจนคนบางพวกบางสีเกลียดชังท่านไปเลย กล่าวหาว่าท่าน “เลียท็อปบู๊ททหาร” เป็น “ขี้ข้าเผด็จการ” แบบคนที่อ่านท่านไม่ออก จึงเกลียดชังท่านได้ปานนั้น
7) จะมีสักกี่คนในประเทศของเราครับ ที่ยอมเป็นทุกอย่างที่เผด็จการให้เป็น จนต้องทนเป็น สว. และ ส อื่นๆ มาอย่างต่อเนื่องไม่รู้ตั้งกี่ปีต่อกี่ปี เมื่อมีความขัดแย้งเรื่องบทเฉพาะกาล เรื่องให้ สว. มาเลือกนายกฯ ได้ ท่านก็ออกมาสู้หัวชนฝา เหมือนจะให้เผด็จการตายใจ และกล่าวในหลายๆ ที่อย่างภาคภูมิใจถึงการเป็นผู้ใส่บทเฉพาะกาลนี้ เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้ คนที่สู้กับ “รัฏฐาธิปัตย์” ได้แนบเนียนขนาดนี้ คนที่อยากให้ “บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า” คุณคิดว่า จะหาได้ง่ายๆ ในประเทศไทยยุคนี้หรือครับ?
8) เรื่อง “นักโทษเทวดา” ก็เหมือนกัน หากทนายวันชัยไม่พูดแบบนี้ คนทั่วไปจะ “รู้สึก” หรือครับ ว่ามันอยุติธรรม คนทั่วไปจะหยุดคิดหยุดแย้งกับท่านหรือครับ ว่า เฮ้ยๆๆๆ มึงแหกตาดูเสียบ้างเถอะ ไอ้ทนายจอมเลียจะด่าทอท่านกันไปทำไม เพราะหากไม่มีข้อเขียนนี้ของท่านจะมีอะไรกระตุกให้ท่านมอง “อีกด้าน” กันล่ะครับ ท่านลงมือออกแรงกดด้านหนึ่ง เพื่อให้มันไปโป่งอีกด้านหนึ่ง (นี่คือความล้ำลึกของท่าน)
9) ด้านที่ต้องเห็นตั้งแต่ก้าวแรกที่นักโทษหนีคุก หนีหมายจับคนนี้ ลงจากเครื่องบิน กระบวนการต้อนรับ มีห้องวีไอพี ให้นั่งคุยกับอดีตเมีย ลูก หลาน ลูกสะใภ้ ลูกเขย พร้อมหน้าพร้อมตา ราวกับงานเชงเม้ง มีเวลาให้เดินออกมาโบกมือทักทายขี้ข้าบริวาร แฟนคลับ และสื่อมวลชน ด้วย แต่หลังจากนั้น ไม่เคยมีใครได้เห็นภาพของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร อีกเลย ผมทรงอะไรก็ไม่ได้เห็น สวมชุดอะไรก็ไม่มีมีเครื่องจองจำตามที่ต้องมีหรือเปล่าก็ไม่รู้ ป่วยจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ อยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทั้งหมดเป็น “ความลับดำมืด” ที่ใครก็แตะไม่ได้ เข้าไม่ถึง ทนายวันชัย
ท่านจึงต้องใช้โวหาร “โดยพื้นฐานของมนุษย์ที่มีตำแหน่งแห่งหนและฐานะ มันก็ไม่เท่ากันอยู่แล้ว จะอยู่ในคุกหรือนอกคุกมันก็ไม่เท่ากัน ยิ่งเป็นเทวดาแต่ละชั้นๆ มันก็ไม่เท่ากัน
มันก็เป็นธรรมดา...” ที่ดูเหมือนจะบอกกับเราว่า อย่าไปคิดมากเลย แต่ลึกๆ คือการขีด “เส้นใต้บรรทัด” ให้คิดน่ะแหละ ล้ำลึกไหมล่ะ?
10) อย่าไปด่าท่านเลย ว่า ท่านเป็นนักกฎหมายสี่แปดอะไร ไม่รักษา “หลักกฎหมาย” ไม่รักษา “กระบวนการยุติธรรม” ภายใต้ความ “เสมอภาค” คุณคิดเหรอว่า อดีตเลขาธิการสภาทนายความ 3 สมัยอย่างท่าน จะไม่รู้ว่า เรื่องนี้มีพิรุธมากมาย ตั้งแต่การกรอกประวัตินักโทษ, การรับตัวนักโทษเข้าเรือนจำ, การอนุญาตให้ออกมารักษาตัวนอกโรงพยาบาลราชทัณฑ์, นักโทษมีอาการหนักขนาดไหน แพทย์และเครื่องมือของโรงพยาบาลราชทัณฑ์จึงดูแลไม่ได้ นานเกิน 120 วันมาแล้ว, วันส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลตำรวจมีความเห็นของแพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์หรือไม่, หากบอกว่า คนไข้อาการวิกฤต เอ้า! ส่งมาโรงพยาบาลตำรวจก่อนเลย แต่พอพ้นวิกฤตแล้ว ผอ.เรือนจำก็ดี, อธิบดีกรมราชทัณฑ์ก็ดี
ได้ให้แพทย์จากโรงพยาบาลราชทัณฑ์ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการดูแลอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของ “ผู้ต้องขัง” หรือ “นักโทษ”มาตรวจสอบซ้ำหรือไม่
ความเห็นแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจ เป็นเพียงความเห็นแพทย์เจ้าของไข้ แต่ขณะนี้ คนไข้เป็นนักโทษ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ยังใหญ่กว่าแพทย์ครับ ต้องตรวจสอบ/ตรวจทาน ความเห็นแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจ ด้วยการให้แพทย์ “ในสังกัด” คือ โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เป็นผู้ตรวจสอบสุดท้ายและให้ความเห็น เพราะขณะนี้ ทักษิณ ชินวัตร เป็นนักโทษ อยู่ในความดูแลของกรมราชทัณฑ์ ความเห็นของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ จึงไม่ควรเป็น “ข้อยุติ” หรือ “ใหญ่” กว่าดุลพินิจอันรอบคอบของอธิบดีกรมราชทัณฑ์
ผมเชื่อว่า ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในสมัยเผด็จการหรือรัฏฐาธิปัตย์ ทนายวันชัยท่านคงลุยแหลกแล้วแน่ๆ คงต้องอาศัยทุกอำนาจทุกตำแหน่งที่ท่านมี ทำเรื่องนี้ให้กระจ่างและเป็นธรรม เพราะท่านเป็นคนดี เป็นนักกฎหมายที่ซื่อตรงต่อวิชาชีพ
ท่านไม่เคย “ก้มหัวให้เผด็จการ” หรือ “รัฏฐาธิปัตย์” ท่านไม่เคยประจบสอพลอผู้มีอำนาจเพื่อประโยชน์ใดๆ ของตัวท่านเลย
ยามเป็นนักการเมือง ท่านก็เป็นนักการเมืองที่เอาประโยชน์บ้านเมืองเป็นสำคัญ ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตัวเป็นสำคัญ
ยามเป็นนักกฎหมาย ท่านก็รักษาหลักกฎหมายยิ่งกว่าโอกาสอื่นใดในชีวิตของท่าน เพราะท่านไม่ใช่ “คนฉวยโอกาส” ไม่ใช่ “คนหิวโอกาส” เลย
ลองดูท่านให้เต็มตาสิ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี