ทันทีที่ทักษิณ ชินวัตร เป็นอิสระจากกระบวนการยุติธรรม และการจองจำผ่านการรักษาพยาบาลที่ขาดความโปร่งใส จอมพล สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ก็รีบรุดบินข้ามฟ้ามาเยี่ยมเยียนแทบจะในทันที นัยว่าเพื่อเป็นการแสดงความยินดีในฐานะเพื่อนเก่า เพื่อนร่วมอุดมการณ์แห่งอำนาจนิยมและความมั่งคั่ง มั่นคง ของกิจการครอบครัว
ในการนี้ก็คงจะไม่ผิดพลาดนักถ้าจะกล่าวว่า ทั้งสองเป็นคู่แฝดต่อกันและกัน และเป็นเสมือนพี่น้องสายเลือดเดียวกัน (Blood brothers) ทางการเมือง เนื่องจากทั้งสองต่างมีความคิดอ่าน และความทะเยอทะยานที่คล้ายคลึงกัน เช่น การต้องการเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินแต่ผู้เดียว ด้วยการขจัดคู่ต่อสู้คู่แข่งขันทางการเมืองให้หมดสิ้นไปให้มากที่สุดเน้นการเล่นการเมืองแบบครอบครัวเป็นใหญ่ หรือเป็นราชวงศ์การเมือง (Political Dynasty) การไม่แยกแยะแต่ผสมผสานกันระหว่างอำนาจทางการเมืองกับอำนาจทางเศรษฐกิจ การคิดอ่านและปฏิบัติเสมือนว่าสมบัติของชาติบ้านเมืองนั้นเป็นของตน การคิดคำนึงว่าตนเท่านั้นที่เป็นเจ้าของอำนาจรัฐและเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์กติกา เพื่อควบคุม ขู่เข็ญ และบังคับใช้กับผู้อื่น และฉะนั้นก็ทำตนเป็นผู้อยู่เหนือกฎหมายใดๆ ทั้งปวง เป็นต้น จัดได้ว่าทั้งสองทำตนเสมือนเจ้ามหาชีวิตของประชาชนประเทศตนเอง
แต่คู่แฝดนี้ก็ยังมีความต่างในแง่ของเส้นทางของการเข้าสู่อำนาจสูงสุดอยู่เล็กน้อย สมเด็จฯ ฮุนเซน จำเป็นต้องจับปืนผาหน้าไม้ตั้งแต่อายุประมาณ 15 ปี และต่อสู้ด้วยเลือดเนื้อ แลกเปลี่ยนกับชีวิตจนประสบความสำเร็จทางอำนาจ ในขณะที่นายทักษิณ ชินวัตร นั้นเติบโตมาด้วยระบบอุปถัมภ์ค้ำจุน ที่ใช้เครือข่ายเส้นสาย บนเส้นทางของการพบปะเจรจาในห้องปรับอากาศ ที่มิใช่การออกมาเรียกร้องตามท้องถนน หรือการปฏิบัติการอยู่ในสนามรบแต่อย่างใด
มาบัดนี้ สมเด็จฯ ฮุนเซน ประสบความสำเร็จสูงสุดในการครอบครองอำนาจ และความเป็นไปในราชอาณาจักรกัมพูชาแต่ผู้เดียว คู่ต่อสู้ต่างๆ ทางการเมืองก็ถูกกวาดต้อนไปสู่การกักขัง ที่พอสามารถเล็ดรอดออกไปได้ ก็ต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองในต่างประเทศ ซึ่งก็หามีความปลอดภัยไม่ เพราะสมเด็จฯ ฮุนเซน ยังคงส่งหน่วยราชการลับไปตามล้างตามเช็ด หรือไม่ก็ได้รับความร่วมมือจากผู้นำของประเทศนั้นๆ ที่เป็นจอมเผด็จการด้วยกัน จับกุม และส่งมอบตัวผู้ลี้ภัยเหล่านี้ กลับสู่เงื้อมมืออันโหดเหี้ยมของสมเด็จฯ ฮุนเซน หรือไม่ก็มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ด้วยกัน คือต่างฝ่ายต่างจับกุมคู่ต่อสู้ทางการเมืองของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และแลกเปลี่ยนส่งมอบให้แก่กันและกัน หรือถ้าสามารถขจัดให้ได้ ก็จะอำนวยการให้
ในการนี้ก็จัดได้ว่าสมเด็จฯ ฮุนเซน ได้ขจัดศัตรูไปหมดแล้ว และโอกาสที่ฝ่ายศัตรูจะสามารถฟื้นตัวได้นั้นช่างดูริบหรี่ ห่างไกลมาก อีกทั้งสมเด็จฯ ฮุนเซน ยังสามารถสืบทอดอำนาจให้กับลูกหลานในครอบครัว ดังจะเห็นได้ว่า พลเอกสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต ลูกชายคนโตได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากบิดา สมเด็จฯฮุนเซน และแถมยังมีตำแหน่งขุนนาง “สมเด็จ” นำหน้าด้วยเช่นเดียวกัน
ส่วนทางด้านนายทักษิณ ชินวัตร ในวันนี้นั้นแม้จะยังไปไม่ถึงดวงดาวสูงสุด เพราะไม่สามารถสยบบุคคลและองค์กรต่างๆ ที่เห็นต่างกับตัวได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ก็ยังถือว่าสามารถคงไว้ซึ่งอิทธิพล และบารมีอย่างมากมาย ซึ่งก็น่าจะยังหวัง และเพียรพยายามที่จะไปให้ถึงได้อย่างไม่ลดละ ตามธาตุแท้ของนายทักษิณ ชินวัตร ที่สนใจเพียงแต่เรื่องอำนาจและอำนาจเท่านั้น เช่นเดียวกับการที่สมเด็จฯฮุนเซน แผ้วถางทางให้บุตรตนขึ้นคุมอำนาจ ทางนายทักษิณ ชินวัตร ก็กำลังหาจังหวะ และช่องทางที่ผลักดันให้บุตรสาว นางสาว แพทองธาร ชินวัตร (อุ๊งอิ๊ง) ขึ้นไปเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของราชอาณาจักรไทย จึงเป็นการบ้านที่ท้าทายของนายทักษิณ ชินวัตร ต้องทำให้สำเร็จ เพื่อที่จะได้ทัดเทียมไม่น้อยหน้าสมเด็จฯ ฮุนเซน คู่แฝด
แต่ก็มีข้อคิดในจุดต่างของทั้งสองว่า สมเด็จฯ ฮุนเซนนั้นเริ่มจากเป็นนักรบคุมกองทัพ ก่อนจะข้ามมาคุมเวทีทางการเมืองของกัมพูชา และเมื่อมีอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งทางด้านทหารและการเมือง สมเด็จฯ ฮุนเซน จึงสามารถคุมกัมพูชาได้ทั้งประเทศ ทั้งระบบราชการ ระบบกระบวนการยุติธรรม ระบบองค์กรอิสระตรวจสอบ ระบบสื่อ และองค์กรศาสนา ในขณะที่ นายทักษิณ ชินวัตร ไม่สามารถควบคุมกองทัพไทยได้ แม้ในอดีตจะเคยพยายามครอบงำด้วยการส่งญาติมิตรใต้บังคับบัญชาของตนเข้าไปคุมตำแหน่งใหญ่ๆ ในกองทัพ แต่สุดท้ายก็ไม่สัมฤทธิผล ต่างถูกล้างบางออกจากอำนาจหลังการรัฐประหาร นอกจากนั้น องค์กรต่างๆ ในราชอาณาจักรไทยในวันนี้ ก็ถือว่ามีความเข้มแข็งในระดับหนึ่ง แถมการเมืองภาคประชาชนมีความหลากหลาย และมีความเป็นตัวของตัวเองอยู่ในระดับหนึ่งเช่นกัน
ฉะนั้นเส้นทางขึ้นสู่อำนาจเบ็ดเสร็จของนายทักษิณ ชินวัตร ดูยากลำบาก และก็คงเป็นไปไม่ได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่านายทักษิณ ชินวัตร จะยังดันทุรังแบบไม่ดูตาม้าตาเรือเช่นเดียวกับในอดีต หรือจะมีสติตระหนักรู้แล้วว่า การปล่อยวางจากอำนาจเบ็ดเสร็จจะเป็นทางออกที่ดีกว่า ซึ่งมิใช่แค่ดีต่อตัวเอง หากแต่ยังจะดีต่อประเทศชาติบ้านเมืองด้วย
หันกลับไปมองที่กัมพูชาแล้ว ก็คงต้องยกหลักอนิจจังอันเป็นที่ประจักษ์กันมาช้านาน เพราะเมื่อเวลาผ่านไปสมเด็จฯ ฮุนเซน ก็จะชราภาพยิ่งขึ้น แล้วก็ต้องลาจากโลกนี้ไป และแล้วเมื่อนั้น ราชวงศ์การเมืองตระกูลฮุน จะยังสามารถสืบทอดอำนาจไปได้อีกสักกี่น้ำ? และจะถูกสังคมกัมพูชาโต้กลับเอาคืนหรือไม่? ซึ่งก็เป็นเรื่องที่พอจะคาดการณ์กันไว้ได้ว่าอำนาจของคู่แฝดสุวรรณภูมิคู่นี้ รวมทั้งลูกหลาน ลิ่วล้อ ที่วันนี้ดูจะล้นฟ้า ล้นแผ่นดิน คัดง้างได้แม้แต่ความยุติธรรม แต่ในวันข้างหน้านั้นไม่ได้มีความยั่งยืนใดๆ ทั้งสิ้น
ฉะนั้น หากวันนี้ ยังไม่กลับตัวกลับใจหันไปใช้อำนาจที่มีทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองของตนเป็นหลัก เลิกคิดเรื่องการสร้างอิทธิพลคงอำนาจให้กับตระกูลตน หันไปทำแต่ความดีงามให้กับสังคมของตนแล้ว ก็คาดว่าอนาคตลูกหลานอาจจะจบไม่สวย เช่นเดียวกับบรรดาผู้นำเผด็จการในอดีต
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี